‘ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ’ ทางออกของไทย 

‘ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ’ ทางออกของไทย 

"การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ" ที่ตรงจุด ครบวงจร และยืดหยุ่น จึงเป็นทางออกสำคัญของไทยในภาวะที่การฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19 มีความแตกต่างกันในแต่ละภาคส่วน ซึ่งการปรับโครงสร้างมุ่งไปที่ 3 ปัจจัยหลัก ทั้งภาครัฐ ภาคแรงงาน และภาคธุรกิจ

"การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ" เป็นทางออกสำคัญในภาวะที่การฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19 มีความแตกต่างกันในแต่ละภาคส่วน ต้องใช้ระยะเวลายาวนานและเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง จึงต้องอาศัยการดำเนินนโยบายของภาครัฐที่ตรงจุด ครบวงจร และยืดหยุ่น ควบคู่ไปกับการยกระดับและปรับทักษะแรงงาน รวมทั้งการปรับรูปแบบในการดำเนินธุรกิจ เป็นทางออกสำคัญในภาวะที่การฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19

หลังการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เศรษฐกิจอาจทยอยปรับดีขึ้น แต่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมีความแตกต่างกัน บางธุรกิจกลับเข้าสู่ระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อน อาทิ เครื่องดื่ม เครื่องใช้ไฟฟ้าและการค้า แต่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวยังขาดลูกค้าสำคัญอย่างนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่คาดว่าในปีนี้จะเหลือน้อยกว่า 7 ล้านคน เทียบกับ 40 ล้านคนในปีก่อน

หากมองย้อนไปก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 รายงาน The Global Risks Report 2020 ของ World Economic Forum ระบุว่าความเสี่ยงของการเกิดโรคระบาดรุนแรงทั่วโลกมีค่อนข้างต่ำ คือมีโอกาสเกิดน้อยมาก ใกล้เคียงกับการเกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรงและการเกิดสงครามนิวเคลียร์ สถานการณ์โควิด-19 จึงเป็นบททดสอบถึงความพร้อมต่อการรับมือกับความเสี่ยงในลักษณะความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นไม่มาก แต่หากเกิดขึ้นแล้วจะมีความรุนแรงมาก การทำงานในรูปแบบเดิมๆ หรือการปรับตัวด้วยความเร็วเท่าเดิมจึงไม่เพียงพอที่จะรับมืออีกต่อไป 

ดังนั้น การปรับโครงสร้างที่ตรงจุด ครบวงจร และยืดหยุ่น จึงเป็นทางออกสำคัญ โดยอาจจำแนกการปรับโครงสร้างออกเป็น 3 ด้าน คือ ภาครัฐ ภาคแรงงาน และภาคธุรกิจ

1.ภาครัฐ การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจจะต้องตรงจุดในกลุ่มที่ยังฟื้นตัวช้า แก้ปัญหาครบวงจรได้ทั้งกระบวนการตลอดจนยืดหยุ่นเท่าทัน จากที่เน้นเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในวงกว้างซึ่งจะเป็นภาระต่องบประมาณมากหากสถานการณ์ยืดเยื้อ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยปรับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้จากการให้สถาบันการเงินช่วยเหลือเป็นการทั่วไป เป็นการให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกหนี้แต่ละราย

สำหรับกลุ่มลูกหนี้ที่กลับมาดำเนินธุรกิจแต่ยังไม่ฟื้นตัว สถาบันการเงินสามารถปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยคงสถานะลูกหนี้ไม่ให้เป็นหนี้เสีย NPL ระหว่างการเจรจาจนถึงสิ้นปีนี้ สำหรับลูกหนี้ที่ยังไม่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ สถาบันการเงินพิจารณาระยะเวลาชะลอการชำระหนี้เป็นรายกรณีได้อีกไม่เกิน 6 เดือนนับจากสิ้นปี ซึ่งเป็นการเพิ่มแรงจูงใจให้สถาบันการเงินเร่งดำเนินการปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ โดยมีลูกหนี้เพียงร้อยละ 6 ของยอดสินเชื่อที่ได้รับการพักหนี้และยังอยู่ระหว่างการติดต่อของธนาคารพาณิชย์หรือยังติดต่อไม่ได้

อีกตัวอย่างการปรับโครงสร้างของภาครัฐคือมาตรการด้านแรงงาน ที่กระทรวงแรงงานเป็นเจ้าภาพหลักและ ธปท.ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดทำเว็บไซต์ www.ไทยมีงานทำ.com เป็นแพลตฟอร์มกลางจับคู่งานให้แรงงานสามารถกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานเพื่อแก้ปัญหาการว่างงานที่ตรงจุด 

เป็นกลไกที่เอื้อให้แรงงานทราบถึงทักษะที่เป็นที่ต้องการ ตลอดจนภาครัฐจะสามารถสนับสนุนการยกระดับและปรับทักษะแรงงานให้เหมาะสม ผ่านการออกแบบนโยบายร่วมกันกับผู้แทนภาคธุรกิจ คือ คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ โดยมีสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้คุมแผน และกระทรวงการคลังเป็นผู้ดูแลงบประมาณ ซึ่ง ณ สิ้นเดือน ต.ค.2563 มีนายจ้างเปิดรับตำแหน่งงานทั้งสิ้น 4.5 แสนตำแหน่ง

ทั้งนี้ ตัวเลขสถิติการใช้งานสะท้อนถึงปัญหาอีกด้านของตลาดแรงงานไทย คือความไม่สอดคล้องกันระหว่างความต้องการของนายจ้างกับของแรงงาน หลังตำแหน่งงานเกือบ 2 แสนตำแหน่งอยู่ในภาคการผลิต แต่จำนวนการสมัครงานในภาคการผลิตกลับมีเพียง 1.2 หมื่นครั้ง จากผู้สมัครประมาณ 7 พันคน คิดเป็นเพียงร้อยละ 10 ของจำนวนการสมัครงานทั้งหมด ซึ่งปัญหานี้จะต้องอาศัยการแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างครบวงจรระหว่างผู้ฝึกอบรม ผู้แทนฝั่งนายจ้าง และผู้แทนแรงงาน

2.ภาคแรงงาน แรงงานต้องยกระดับและปรับทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยแรงงานในภาคการท่องเที่ยวอาจต้องปรับตัวให้มีทักษะเพียงพอที่จะย้ายไปยังสาขาการผลิตที่มีความต้องการแรงงานมากกว่า ขณะที่แรงงานในภาคเกษตรอาจต้องศึกษาแนวทางการใช้งานนวัตกรรม เพื่อรับมือความไม่แน่นอนของสภาพอากาศ 

ตัวเลขจากสำนักงานสถิติแห่งชาติสะท้อนว่าแรงงานที่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีขึ้นไปได้รับรายได้เพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 30 เทียบกับก่อนสำเร็จการศึกษา และโดยเฉลี่ยแล้วแรงงานในกลุ่มปริญญาตรีขึ้นไปซึ่งเคยเข้ารับการพัฒนาทักษะ จะมีรายได้สูงกว่ากลุ่มที่ไม่เคยเข้ารับการพัฒนาทักษะเกือบร้อยละ 15 จึงยืนยันได้ว่าการพัฒนาทักษะจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับแรงงาน

โจทย์สำคัญคือ แรงงานจะสามารถบริหารจัดการตัวเองให้เข้ารับการอบรมได้อย่างไรในภาวะวิกฤตการณ์เศรษฐกิจนี้ ภาครัฐควรออกแบบมาตรการสร้างแรงจูงใจให้แรงงานและนายจ้างเข้าร่วมโครงการพัฒนาทักษะแรงงาน ซึ่งไม่เพียงจะเป็นการเยียวยาในระยะสั้น แต่จะช่วยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็งได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย

3.ภาคธุรกิจ การปรับโครงสร้างสำคัญคือ การปรับรูปแบบธุรกิจให้มีความยืดหยุ่นรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ แม้อาจมีเพียงส่วนน้อยที่ให้ความสำคัญกับแผนฉุกเฉินล่วงหน้าจนสามารถรับมือกับสถานการณ์ครั้งนี้ได้ดี และอาจพลิกวิกฤติขึ้นเป็นโอกาส เช่น ขยายตลาด e-Commerce และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง สะท้อนจากตัวเลขปริมาณการโอนเงินและชำระเงินผ่านอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เติบโตอย่างรวดเร็วจาก 6 แสนครั้งในเดือน ธ.ค.ปีก่อน มาเป็นเกือบ 9 แสนครั้งในเดือน ส.ค.นี้

แต่สำหรับผู้ประกอบการส่วนใหญ่โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็ก ซึ่งมีสายป่านสั้นหรือมีฐานะการเงินเปราะบางอยู่ก่อนวิกฤติครั้งนี้ อาจอยู่นอกแผนและไม่ได้เตรียมตัวรับมือ การปรับรูปแบบการบริหารจัดการในจังหวะที่เหมาะสมจึงมีความจำเป็น เห็นได้จากตัวเลขผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งถึงกว่า 4 แสนราย ประกอบด้วยร้านค้าหาบเร่แผงลอยกว่า 50,000 แห่ง 

การเข้าร่วมโครงการไม่เพียงแต่จะได้รับผลดีจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นในระยะสั้น แต่จะเป็นการปรับรูปแบบธุรกิจรายย่อยให้คุ้นชินกับการเปลี่ยนแปลง และอาจพัฒนาต่อยอดไปสู่การประยุกต์ใช้เครื่องมือบนแพลตฟอร์มสมัยใหม่ เพื่อลดต้นทุนในการบริหารจัดการ การเข้าถึงลูกค้ารายใหม่ ตลอดจนการนำข้อมูลเข้าสู่ฐานข้อมูลของภาครัฐและสถาบันการเงินซึ่งจะเอื้อให้สามารถเข้าถึงสภาพคล่องได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย

ลายวิกฤตการณ์ในช่วงที่ผ่านมาอาจทำให้เกิดความเสียหายและบาดแผลทางเศรษฐกิจ แต่ก็ก่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ปรับตัว หากวิกฤติครั้งนี้จะนำมาสู่การผสานรูปแบบการดำเนินนโยบายภาครัฐที่ตรงจุด ครบวงจร และยืดหยุ่น เข้ากับการจัดเตรียมแผนฉุกเฉินในเชิงรุกของเอกชน ตลอดจนการมุ่งยกระดับและปรับทักษะของแรงงาน เชื่อได้ว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาเข้มแข็งได้อย่างยั่งยืน

(บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของ ธปท.)