“คณิศ”รื้อแผนลงทุน5ปี ดึงธุรกิจสหรัฐเข้าอีอีซีเพิ่ม

“คณิศ”รื้อแผนลงทุน5ปี  ดึงธุรกิจสหรัฐเข้าอีอีซีเพิ่ม

ที่ผ่านมารัฐบาลได้จัดทำแผนงานบูรณาการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อจัดทำงานประประมาณสนับสนุนอีอีซีในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งครอบคลุมการดึงการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาอีอีซีเพิ่มมากขึ้น

คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กล่าวว่า สกพอ.ยังเตรียมแนวทางการปรับแผนการลงทุนอีอีซีทั้งโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมเป้าหมายระยะ 5 ปี (2563-2567) ใหม่ เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป 

โดยเฉพาะภายหลังที่ โจ ไบเดน ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลบวกต่อการลงทุนและจะมีความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนกับสหรัฐมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green) เพราะไบเดนเน้นลดภาวะโลกร้อนจะดึงนักลงทุนจากสหรัฐได้มากขึ้น 

รวมถึงการดึงลงทุนเทคโนโลยีใหม่ที่ไทยกำลังเร่งผลักดัน 5G โดย สกพอ.เตรียมหารือกับสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อผลักดันการลงทุนในอีอีซี โดย สกพอ.ประเมินไว้ว่าการลงทุนในอีอีซีรวมจะอยู่ที่ระดับ 1.7 ล้านล้านบาท

นอกจากนี้ สกพอ.ต้องการให้รัฐบาลเร่งเปิดการกรอบข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่จะช่วยส่งเสริมอีอีซีต้องการแต่ติดปัญหายังไม่สามารถดำเนินการได้ ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านเรา เช่น เวียดนามได้เข้าเป็นสมาชิกข้อตกลงความครอบคลุมและความก้าวหน้าเพื่อหุ้นส่วนทางการค้าภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก (ซีพีทีพีพี) รวมทั้งทำเอฟทีเอเวียดนาม-อียู ไปแล้ว ซึ่งทำให้มีแรงดึงดูดนักลงทุนเข้าไปลงในประเทศมากขึ้น 

ขณะที่ไทยยังไม่ได้เข้าร่วมข้อตกลงซีพีทีพีพี รวมทั้งยังไม่ได้ทำเอฟทีเอกับอียู ซึ่งต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนเรื่องนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น เพราะหากว่าเราไม่มีเอฟทีเอ นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนจะขยายตลาดได้ ขายสินค้าไปประเทศอื่นๆได้ รวมทั้งการสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนมาในประเทศไทยได้

160501358431

นอกจากนี้ สกพอ.ได้ประชุมชี้แจงส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นถึงการขับเคลื่อนแผนงานบูรณาการอีอีซีปี 2565 เมื่อวันที่ 10 พ.ย.2563 โดยมีผู้แทน 22 กระทรวง และ 120 หน่วยงาน เข้าร่วม โดยที่ผ่านมา สกพอ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมขับเคลื่อนแผนบูรณาการอีอีซีผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม ของหน่วยงานจากส่วนกลางและท้องถิ่น ภาคเอกชนและภาคประชาชนทุกด้านมาแล้ว 3 ปี เพื่อให้มีความพร้อมเรื่องโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงกันแบบไร้รอยต่อ 

รวมทั้งการพัฒนาสาธารณูปโภคเพื่อเตรียมความพร้อมในการชักชวนการลงทุน ซึ่งแผนบูรณาการอีอีซีใน 3 ปีที่ผ่าน เน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งในปีงบประมาณ 2565 จะยังคงสานต่อการพัฒนาคนให้ตรงกับความต้องการ การสร้างรายได้สูงขึ้น การยกระดับคุณภาพระบบสาธารณสุขให้ได้มาตรฐาน รวมถึงมีระบบเฝ้าระวังโรคที่ได้มาตรฐานควบคู่ไปกับการขยายของเมือง

นอกจากนี้จะเริ่มยกยกระดับเกษตรแบบดั้งเดิมสู่เกษตรสมัยใหม่ ที่มีการนำนวัตกรรมมาช่วยเพิ่มมูลค่าของผลผลิตทางการเกษตร พร้อมทั้งประเมินกำลังการผลิตให้ตรงต่อความต้องการของตลาด และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีสูงขึ้น

ทั้งนี้แผนบูรณาการพัฒนาอีอีซีนั้นทางสกอพ.จะวางแนวทางสิ่งที่ต้องทำนั้นไปให้หน่วยงานต่างๆดำเนินการ เช่น โครงสร้างพื้นฐานมีแผนต่างๆก็นำแผนนั้นไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กระทรวงคมนาคมดำเนินการจัดทำโครงการเพื่อให้ตอบสนองกับแผนที่วางไว้ ซึ่งในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานต่างๆได้ดำเนินการไปแล้ว ดังนั้นในปีงบประมาณ 65 จะเป็นเน้น การศึกษา สาธารณสุข ยกระดับชีวิตของประชาชน

สำหรับมูลค่าการลงทุนจากภาครัฐและอีอีซีที่วางไว้ต้องไม่น้อยกว่า 3 แสนล้านบาท โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากการพัฒนาอีอีซี ซึ่งมีการจ้างงานในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายเพิ่มขึ้น 1 แสนคน รวมทั้งอัตรการขยายตัวของจีดีพีในอีอีซีเพิ่มขึ้น 6.3%  โดยมีภารกิจสำคัญ คือ

1.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคม ให้เชื่อมโยงไร้รอยต่อ เร่งพัฒนาระบบสาธารณูปโภคให้เพียงพอกับความต้องการ และยกระดับโครงสร้างด้านดิจิทัล ซึ่งผลักดันขอรับการจัดสรรงบประมาณตามภารกิจของหน่วยงาน 

2.การพัฒนาและยกระดับบุคลากร การศึกษา วิจัย และนวัตกรรม เพื่อเตรียมความพร้อมทุนมนุษย์ สร้างความเป็นเลิศทางเทคโนโลยีต้นทุนการผลิตลดลง 30 % พัฒนาบุคลากรอย่างบูรณาการ เป็นต้น

3.การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนรองรับการขยายตัวของเมือง โดยประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีรายได้เพิ่มขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับสาธารณสุขให้มีคุณภาพและเพียงพอ ผลักดันระบบการแพทย์ฉุกเฉิน พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน 

4.การลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งต้องให้เกิดการลงทุนอย่างน้อย 1 หมื่นล้านบาท โดยจะเร่งรัดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ประชาสัมพันธ์เชิงรุก สร้างการรับรู้และชักจูงนักลงทุน

ทั้งนี้ ภารกิจสำคัญดังกล่าวได้วางโครงการสำคัญในปี 2565 คือ การสนับสนุนการดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ 6 โครงการ การพัฒนาบุคคลากรรองรับเทคโนโลยี กระตุ้นการจ้างงาน พัฒนาบรรจุภัณฑ์ สร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ชุมชุม พัฒนาระบบบริการสุขภาพ และการแพทย์ฉุกเฉิน กระตุ้นการลงทุนและชักจูงนักลงทุน 

รวมถึงการส่งเสริมเอสเอ็มอีครบวงจร พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวกระตุ้นการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์โควิด-19 พัฒนาพื้นที่ชุมชนตามผังเมืองอีอีซี พัฒนาเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ ผลักดันที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย สร้างความรู้ด้านอีคอมเมิร์ซสู่เกษตรกร

“เป้าหมายอีอีซีลงทุนปีละ 3 แสนล้านบาท โดย สกพอ.ใช้งบบูรณาการประมาณ 2 หมื่นล้านบาท เป็นงบประมาณที่ของจากรัฐ หรือ 20 % ที่เหลือเป็นเงินจากเอกชนที่ลงทุนในอีอีซี โดยงบบูรณาการดังกล่าวเป็นงบที่นำมาเร่งรัดการลงทุนเพื่อให้ภาคเอกชนมานำเงินมาลงทุน 3 แสนล้าน ทั้งนี้คาดว่าแผนงานบูรณาการจะสามารถเสร็จได้ต้นเดือน ม.ค.ปีหน้า"