“อนุทิน”แจงยกระดับบัตรทอง 4 บริการสู่ยุคใหม่

“อนุทิน”แจงยกระดับบัตรทอง 4 บริการสู่ยุคใหม่

“อนุทิน” แจงนโยบาย “ยกระดับบัตรทอง 4 บริการ” เชื่อความมุ่งมั่นในการพัฒนาระบบบริการ จะทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี เพิ่มการเข้าถึงบริการ อำนวยความสะดวกในการรับบริการเพื่อผู้มีสิทธิ 

เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2563 ที่โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทรา ศูนย์ราชการฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) กล่าวในการเป็นประธานเปิดการประชุมสร้างความร่วมมือภาคีเครือข่ายภาคประชาชน ชี้แจงนโยบาย “ยกระดับบัตรทอง 4 บริการ สู่หลักประกันสุขภาพยุคใหม่แก่อาสาสมัครสาธารณสุข ผู้นำชุมชน และท่านผู้ประสานงานหน่วยรับเรื่องร้องเรียนอิสระอื่นตามมาตรา 50(5) ผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ สปสช.” จัดโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ว่า หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นหนึ่งในนโยบายที่ดีมากและรัฐบาลให้ความสำคัญและสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลา 18 ปีไม่เพียงช่วยให้คนไทย 48 ล้านคน เข้าถึงการรักษา ลดภาวะล้มละลายของครัวเรือนที่เห็นผลเป็นรูปธรรม

นับตั้งแต่การเริ่มต้น โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค ที่ถูกมองว่าเป็นไปไม่ได้ สู่การขยายการดูแล ผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ การดูแลผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย และการดูแลผู้ป่วยโรคค่าใช้จ่ายสูงอย่าง ผู้ป่วยมะเร็ง รวมถึงการครอบคลุมค่าใช้จ่ายยาราคาแพง เป็นต้น และวันนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งของความท้าทายใหม่ในระบบบัตรทอง เพื่อลดปัญหาและอุปสรรคการเข้ารับบริการให้กับประชาชน ที่นำมาสู่การพัฒนายกระดับบัตรทองใน 4 รายการบริการ ซึ่งคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เห็นชอบแล้ว  

4 รายการบริการ ประกอบด้วย  1.รักษาทุกที่ในเครือข่ายหน่วยบริการชุมชนอบอุ่น เป็นอีกก้าวที่สำคัญของระบบบัตรทอง เพื่อมุ่งสู่นโยบายบัตรทองรักษาทุกที่ ที่ความตั้งใจของตน ประกอบกับการแก้ไขปัญหาผลกระทบที่เกิดกับคน กทม. เกือบ 2 ล้านคน จากกรณีที่ สปสช. ต้องยกเลิกคลินิกในระบบเกือบ 200 แห่ง ทำให้ไม่มีหน่วยบริการประจำรองรับ เป็นสถานการณ์ที่จะพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ในการปรับระบบบริการปฐมภูมิรูปแบบใหม่ที่จะทดลองนำร่องใน กทม. พร้อมกับการดูแลคน กทม. ควบคู่ โดยเปิดให้เข้ารับ การรักษาปฐมภูมิที่ใดก็ได้ในเครือข่ายหน่วยบริการชุมชนอบอุ่น ซึ่งได้เริ่มบางส่วนแล้วในวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา  แม้ว่าขณะนี้ความพร้อมระบบจะยังไม่ 100 % จำนวนคลินิกเข้าร่วมยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ด้วยเป็นช่วงเริ่มต้นการเปลี่ยนผ่าน เช่นเดียวกับการเริ่มต้นบริการ

2.ผู้ป่วยในไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัว ที่ได้เริ่มนำร่องแล้วที่เขต 9 นครราชสีมา เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา  3.บริการ ผู้ป่วยมะเร็งรักษาโดยตรงที่โรงพยาบาลเฉพาะทางและไม่แออัดและ4.ประชาชนได้รับสิทธิบริการทันที หลังเปลี่ยนหน่วยบริการประจำ ที่อยู่ระหว่างจัดเตรียมและจะเริ่มระบบในวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม 2564  แต่เชื่อว่าด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาระบบบริการ จะทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี เช่นเดียวกับระบบบัตรทองที่ล้มลุกคุกคลานในวันเริ่มต้น แต่เมื่อถึงวันนี้ได้เดินมาเป็นปีที่ 18 แล้ว ทั้งบรรลุตามเป้าหมายของการจัดตั้งกองทุนบัตรทอง  

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ ไม่เพียงแต่การดำเนินงาน สปสช. กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงหน่วยบริการภาครัฐและเอกชนเท่านั้น แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รวมถึงเครือข่ายภาคประชาชนทุกคน ทั้งอาสาสมัครสาธารณสุข ผู้นำชุมชน และผู้ประสานงานหน่วยรับเรื่องร้องเรียนอิสระอื่นตามมาตรา 50 (5) ในการร่วมผลักดัน โดยในวันนี้ขอให้ร่วมกันชี้แจงและทำความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับข้อมูลการยกระดับบัตรทองใน 4 รายการบริการนี้

“เชื่อมั่นว่าระบบบัตรทอง แม้จะผ่านปัญหา อุปสรรค และความท้าทายต่างๆ ที่เป็นเสมือนคลื่นลมที่ถาโถมเข้ามา แต่ระบบนี้จะยังคงอยู่ได้ และยังคงเป็นหลักประกันสุขภาพให้กับคนไทยทุกคน เพราะด้วยพลังของเราทุกคนที่ต่างช่วยกัน” นายอนุทิน กล่าว

ด้าน นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การประชุมในวันนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อชี้แจงการปรับระบบบริการใหม่ 4 รายการโดยเฉพาะบริการผู้ป่วยในไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัวรวมถึงการลงทะเบียนหน่วยบริการประจำใหม่ให้กับประชาชนสิทธิว่างในพื้นที่ กทม. ที่ สปสช. อยู่ระหว่างเร่งดำเนินการ ให้กับภาคีเครือข่ายภาคประชาชน ทั้งอาสาสมัครสาธารณสุข ผู้นำชุมชน และผู้ประสานงานหน่วยรับเรื่องร้องเรียนอิสระอื่นตามมาตรา 50(5) เพื่อเป็นสื่อกลางในการสื่อสารไปยังประชาชนเพื่อสร้างความเข้าใจในการปรับระบบบริการภายใต้กองทุนบัตรทองนี้ โดยเป็นความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สำนักอนามัย สำนักกรมการแพทย์ กรุงเทพมหานคร โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงกลาโหม โรงเรียนแพทย์ และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง