'หุ้นเทค' จะฟองสบู่แตกหรือไม่? หลังเลือกตั้งสหรัฐ

'หุ้นเทค' จะฟองสบู่แตกหรือไม่? หลังเลือกตั้งสหรัฐ

เร็วๆ นี้ กลุ่ม Big Tech ได้ทยอยรายงานผลประกอบการ โดย 5 กิจการที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ได้แก่ Apple, Microsoft, Amazon, Alphabet และ Facebook ต่างทำผลงานได้ดีกว่าที่ตลาดคาด จึงเกิดประเด็นคำถามว่าตอนนี้หุ้นเทคจัดว่าเป็นภาวะฟองสบู่หรือไม่?

พูดได้เต็มปากเลยว่าหุ้นเทคโนโลยี โดยเฉพาะกลุ่ม Big Tech ที่จดทะเบียนใน NASDAQ เป็นการลงทุนที่ได้รับความนิยมสูงสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา และเป็นการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนได้ดีมากๆ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่นๆ และประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

โดยล่าสุดผลประกอบการของ Big Tech ขนาดใหญ่ที่สุด 5 ตัวแรก ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2563 ได้ประกาศออกมาแล้ว ขณะที่สหรัฐกำลังอยู่ในฤดูเลือกตั้งประธานาธิบดี คำถามสำคัญของนักลงทุนที่ถือหุ้นเทค หรือกำลังสนใจจะลงทุนหุ้นเทค ณ เวลานี้ก็คือ หุ้นเทค ณ ตอนนี้จัดว่าเป็นภาวะฟองสบู่หรือไม่ และฟองสบู่นี้จะแตกหรือไม่ หลังเลือกตั้งสหรัฐ

หากเราเรียงลำดับบริษัทที่มีขนาดสูงที่สุดในดัชนี S&P500 ณ 30 ตุลาคม 2563 พบว่ากิจการที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ Apple, Microsoft, Amazon, Alphabet และ Facebook ซึ่งทั้งหมดเป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั้งสิ้น ดังนั้นการจะดูว่าหุ้นกลุ่มเทคกำลังอยู่ในฟองสบู่หรือไม่ การดูผ่านหุ้น 5 ตัวนี้จึงเป็นภาพสะท้อนได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ล่าสุดผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2563 ของหุ้น TOP5 ทั้ง 5 ตัวได้ประกาศออกมาแล้วทั้งสิ้น ซึ่งทั้ง 5 ตัวต่างทำผลงานได้ดีกว่าที่ตลาดคาด ทั้งรายได้และผลกำไร

เริ่มจาก Apple ที่ทำผลตอบแทนไตรมาส 3 ได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ยอดขาย iPhone จะตกลง แต่ก็สามารถทดแทนมาด้วยรายได้จากการบริการต่างๆ อย่าง Music และ Video Streaming รวมไปถึงยอดขายหูฟัง Airpods และนาฬิกา iWatch

ขณะที่ Amazon มีผลกำไรของไตรมาส 3 ปี 2563 ที่ผ่านมาสูงโดยขึ้นถึง 3 เท่าตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมีกำไร 6.3 พันล้านดอลลาร์ และมีรายได้เติบโตถึง 37% มาที่ 96.1 พันล้านดอลลาร์สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ส่วนของ Microsoft มีกำไรเติบโต 30% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยหลักมาจากธุรกิจ Cloud คือ Microsoft Azure และ Microsoft 365 Suite รวมไปถึง Microsoft Team ที่ใช้สำหรับการประชุมทางไกลที่มีผู้ใช้งานรายวัน หรือ Daily Active User ทะลุ 100 ล้านคน

Google มีรายได้โต 14% และมีกำไรโต 59% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากรายได้โฆษณา โดยเฉพาะจากช่องทาง Youtube ที่เติบโตกว่าที่ตลาดคาด และสุดท้ายคือ Facebook ที่มีรายได้เติบโตกว่า 20 ในไตรมาส 3 ปี 2563 ที่ผ่านมา แม้เฟสบุ๊คจะถูกแบนจากหลายแบรนด์ชั้นนำในโลก 

เมื่อแนวโน้มรายได้และกำไรของกลุ่มเทคยังมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง คำถามต่อไปคือที่ Valuation ณ วันนี้นั้นแพงเกินไปหรือไม่ หากดูจากระดับ Forward P/E นั้น เมื่อไม่รวม Amazon แล้วพบว่าหุ้นยักษ์ใหญ่ อีก 4 ตัวมีระดับ P/E อยู่ที่ประมาณ 30 เท่าบวกลบเล็กน้อย ซึ่งจัดว่าไม่ได้แพงจนเกินไปเมื่อเทียบกับระดับการเติบโตของรายได้และกำไรของบริษัทที่ดีกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ อย่างชัดเจน

อีกหนึ่งอัตราส่วนที่มักใช้ในการดูความถูกแพงของหุ้นเทคโนโลยีคือการดู Enterprise Value-to-Sales หรือมูลค่ากิจการเทียบกับยอดขาด

โดย Enterprise Value นั้นคำนวณจาก Market Cap + หนี้สิน-เงินสด แปลว่าถ้ายิ่งมีหนี้เยอะจะทำให้อัตราส่วนนี้ชี้ว่าหุ้นแพง ขณะที่ถ้ายิ่งเงินสดเยอะอัตราส่วนนี้จะยิ่งชี้ว่าหุ้นมีราคาถูก ซึ่งข้อเท็จจริงคือวันนี้หุ้น Big Tech ทั้ง 5 ตัวนั้นมีเงินสดเยอะมาก และมีหนี้สินน้อย

เมื่อเทียบ Enterprise Value-to-Salesในปัจจุบันเมื่อเทียบกับช่วงพีคก่อนวิกฤติดอทคอมพบว่าอัตราส่วนนี้อยู่ที่ระดับ 5-10 เท่านับว่าเป็น Valuation ที่ถูกว่าช่วงวิกฤติดอทคอมอยู่มาก

โดยสรุปคือเมื่อมองจากปัจจัยพื้นฐาน และ Valuation ของหุ้น Big Tech ในปัจจุบันน่าจะยังสนับสนุนให้หุ้นกลุ่มนี้เติบโตได้ในระยะกลางถึงระยะยาว โดยความผันผวนใดๆ ที่อาจเกิดได้ในฤดูกาลเลือกตั้งสหรัฐ ครั้งนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการเข้าลงทุนครับ

FundTalk รายงาน