'จตุพร' เชื่อ สมานฉันท์เกิดขึ้นได้หากนายกฯเสียสละ

'จตุพร' เชื่อ สมานฉันท์เกิดขึ้นได้หากนายกฯเสียสละ

จตุพร เชื่อ สมานฉันท์เกิดขึ้นได้หากนายกฯเสียสละ ก่อนสายเกินไปซ้ำรอย 6 ตุลา ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงใหญ่เริ่มรื้อที่โครงสร้างทำลายระบบผูกขาด

เมื่อวันที่ 1 พ.ย. ที่สถานีโทรทัศน์พีซทีวี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองในเวลานี้ว่า รัฐบาลกำลังพยายามที่จะเสนอตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ขึ้นมา ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ช่วงที่ก่อน คสช.จะเข้ามา เช่น การสลายการชุมนุมปี 52 ก็มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหนึ่งชุดและปี 2553 ก็มีการตั้งขึ้นมาอีกหลายชุด และหลังจากการยึดอำนาจก็มีการตั้งคณะกรรมการตามรูปแบบต่างๆหลายชุดหลายครั้ง แต่บทสรุปสุดท้ายคือไม่มีใครต้องการสร้างความสมานฉันท์อย่างแท้จริง ตลอดระยะเวลากว่า 15 ปีนี้ไม่มีใครเชื่อ คำว่าสมานฉันท์ เป็นเพียงคำหลอกลวง ตลอดระยะเวลากว่า 7 ปีที่ผ่านมารัฐบาลชุดนี้มีโอกาสที่จะสร้างความสมานฉันท์ และความปรองดองขึ้นภายในชาติได้หลายครั้งแต่ไม่เคยดำเนินการจริงๆ ปากบอกว่าปรองดอง แต่การกระทำสวนทางกัน ดังนั้นคณะกรรมการชุดนี้เป็นคณะกรรมการที่ไม่มีประโยชน์มากที่สุด

นายจตุพร กล่าวว่า หากมีการแก้ไขปัญหากันจริงๆนั้น ต้องเริ่มต้นที่นายกรัฐมนตรี ต้องเสียสละ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกันต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ดังนั้นหากนายกรัฐมนตรีกล้าเสียสละออกจากตำแหน่งอย่างที่ชายชาติทหารพึงกระทำ โดยเชื่อว่าหาก 2 ข้อนี้ ได้คลี่คลายก็จะช่วยลดอุณหภูมิการเมือง แต่หากยังปล่อยให้เดินไปเช่นนี้สุดท้ายก็จะจบลงแบบ 6 ตุลาคม 2519

"88 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์ได้ชัดเจนว่า ประเทศไทยจะมีการปกครองแบบใด จะเป็นนักการเมืองหรือทหารเข้ามาบริหารประเทศ มีเพียงกลุ่มเดียว ที่ได้รับผลประโยชน์ ไม่ว่าใครจะขึ้นมามีอำนาจ นั่นคือกลุ่มทุนผูกขาดทั้งหลาย ซึ่งตนได้เรียกพวกนี้ว่าเป็นเผด็จการทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะมีการปกครองโดยทหารหรือนักการเมือง คนที่ได้ประโยชน์ก็จะมีเพียงกลุ่มเดียว คือกลุ่มนายทุนผูกขาด ที่มีอยู่เพียงไม่กี่รายในประเทศไทย ที่เอารัดเอาเปรียบสูบเลือดคนไทยมายาวนาน ดังนั้น ถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องคิดว่าภัยคุกคามจริงๆแล้วคืออะไร และหากคิดจะเปลี่ยนโครงสร้างเปลี่ยนประเทศอย่างแท้จริงนั้น ต้องทำลายโครงสร้างทุนใหญ่ ทั้งทุนพลังงาน ทุนผูกขาดเครื่องอุปโภคบริโภคทั้งหลาย หรือแม้แต่ทุนข้ามชาติ สิ่งเหล่านี้เชื่อว่าเป็นภัยคุกคามอย่างแท้จริง"

นอกจากนี้นายจตุพร ยังได้กล่าวรำลึกครบรอบ 14 ปีแห่งการจากไปของ นายนวมทอง ไพรวัลย์ ลุงขับรถแท็กซี่พุ่งชนรถถังบริเวนหน้าลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อประท้วงการรัฐประหารเมื่อปี 2549 ต่อมาวันที่ 31 ตุลาคมปีเดียวกัน ได้ก่อเหตุแขวนคอตัวเองจนเสียชีวิต ริมถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร โดยกล่าวว่า การยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 และผลพวงถัดจากนั้นในสมรภูมิไม่มีใครที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่านวมทอง ไพรวัลย์

“วีรชนแท็กซี่คนนี้ มีคุณูปการกับสังคมไทย คือความเป็นคนไทยได้พิสูจน์ว่าพร้อมจะตายด้วยอุดมการณ์และการต่อสู้ได้ และได้แสดงให้ประจักษ์แก่สายตาแก่นายทหารคนหนึ่ง ซึ่งจริงๆแล้วชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งนั้น เลือกที่จะจบชีวิตเพื่อหยุดยั้งและได้แสดงจุดยืน ซึ่งได้สร้างความงดงามให้กับกระบวนการประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่ ขับรถแท็กซี่ชนรถถัง เพื่อแสดงให้โลกได้รู้ว่ามีคนไม่กลัวเผด็จการ และความตายที่อยู่ข้างหน้า”