ปัญหาโลกร้อนในมือว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ : ทรัมป์ vs ไบเดน
เมื่อความแตกต่างในนโยบายปัญหาโลกร้อนของนายทรัมป์ และ ไบเดน ส่งผลต่อนโยบายเศรษฐกิจอื่นๆ
ในการรณรงค์หาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาปีนี้ ประเด็นหาเสียงหนึ่งที่แตกต่างกันยิ่งระหว่างประธานาธิบดี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ แห่งพรรคริพับลิกัน และคู่ชิง ‘นายโจ ไบเดน’ แห่งพรรคเดโมแครต คือนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มุมมองและมาตรการรับมือปัญหาโลกร้อน ตลอดจนเรื่องสิ่งแวดล้อมอื่นๆ
นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามีความสำคัญ เพราะสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศใหญ่ ทิศทางนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ย่อมส่งผลต่อนโยบายของประเทศอื่นๆ ทั้งส่งผลต่อความจริงจังในการปกป้องสิ่งแวดล้อม ตลอดจนส่งผลต่อสถานการณ์สิ่งแวดล้อมของทั้งโลก
ในประเด็นใหญ่สุด เรื่องโลกร้อน ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศต่อสาธารณะเสมอว่าโลกร้อนเป็นเรื่องเหลวไหล หลังนายทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ได้ประกาศถอนตัวจากความตกลงปารีสปี 2015 ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ 195 ประเทศเซ็นความตกลงกำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของแต่ละประเทศ
ขณะที่นายไบเดนหาเสียงว่า โลกร้อนเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน หากได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี จะนำสหรัฐฯ กลับเข้าร่วมความตกลงปารีส และจัดประชุมร่วมผู้นำจากประเทศต่างๆ เพื่อกำหนดเป้าหมายให้จริงจังขึ้นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ความแตกต่างในนโยบายปัญหาโลกร้อนของนายทรัมป์และไบเดน ส่งผลต่อนโยบายเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น นโยบายด้านพลังงาน ที่นายทรัมป์ไม่สนับสนุนพลังงานทดแทนหรือพลังงานสะอาด แต่สนับสนุนพลังงานจากแก๊สและถ่านหิน ขณะที่นายไปเดน สนับสนุนพลังงานสะอาด ตั้งเป้าผลักดันให้สหรัฐฯ บรรลุเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเท่ากับศูนย์ภายใน 2050 และเสนอให้จำกัดการให้สัมปทานขุดเจาะน้ำมันและแก๊สบนที่ดินของรัฐ นอกจากนี้ยังตั้งเป้าลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดมูลค่าถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 4 ปีข้างหน้า เช่น โครงสร้างพื้นฐาน ขนส่ง รถยนต์ ที่อยู่อาศัยและสิ่งก่อสร้าง
ตามแผนของไบเดนในการจัดการปัญหาโลกร้อน ไบเดนตั้งใจใช้มาตรการผสมผสานทั้ง มาตรการทางภาษี งบประมาณจากรัฐบาลกลาง ระเบียบกติกาต่างๆ และนโยบายด้านการต่างประเทศ
หรืออย่างนโยบายต่อพื้นที่ราบชายฝั่งของเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าอาร์กติก (Arctic National Wildlife Refuge - ANWR) ในรัฐอะแลสกา ซึ่งเป็นเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา ที่นายทรัมป์มุ่งมั่นเปิดสัมปทานให้ขุดเจาะน้ำมันได้ ซึ่งคาดว่าเป็นบริเวณที่มีน้ำมันดิบสะสมจำนวนมาก ขณะที่ไบเดนยืนยันว่าจะปกป้องพื้นที่ ANWR จากธุรกิจพลังงาน
ในแง่นโยบายต่อโลกร้อน นอกจากทรัมป์จะไม่เคยมีนโยบายหรือแสดงความสนใจต่อปัญหาแล้ว ยังสนับสนุนธุรกิจถ่านหิน โดยลดระเบียบหรือกติกาที่ควบคุมการใช้ถ่านหิน สนับสนุนโครงการวางท่อส่งก๊าซขนาดใหญ่ สนับสนุนการใช้เชื้อเพลิงจากฟอซซิล ซึ่งตรงข้ามกับนายไบเดนที่เน้นควบคุมหรือลดการพัฒนาพลังงานสกปรก ทั้งฟอซซิลและถ่านหิน
ขณะที่ไบเดนหาเสียงว่า จะร่วมกับนานาประเทศสนับสนุนลดการใช้พลังงานจากฟอซซิล สนับสนุนเงินทุนให้ประเทศต่างๆ พัฒนาพลังงานสะอาด และตั้งเป้ายกเลิกการใช้พลังงานจากฟอซซิลผลิตไฟฟ้าใน 15 ปี และสานต่อนโยบายด้านพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อมจากยุคโอบามา
นัยยะต่อประเทศไทย
ประการแรก ประเทศไทยเป็นหนึ่งในสิบประเทศที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาโลกร้อนมากสุดในโลกตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา (จากสถิติ 2017 Global Climate Risk Index ของ Germanwatch) โลกร้อนก่อปัญหาหลายอย่างต่อไทย เช่น ปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพ มีการคาดการณ์ว่าหากอุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้น 4 องศาเซลเซียส เสี่ยงทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น 15 ซม.ในปี 2030 และ 88 ซม.ในปี 2080 นอกจากน้ำท่วมเพิ่มขึ้น กรุงเทพยังเสี่ยงดินทรุดมากขึ้นด้วย ทั้งนี้ปัจจุบันดินกรุงเทพก็เสี่ยงทรุดตัวปีละ 1-2 ซม.อยู่แล้ว หรืออย่างภาคเกษตรกรรมของไทย ที่ความสามารถในการผลิตขึ้นกับดินฟ้าอากาศเป็นหลัก ซึ่งดินฟ้าอากาศได้รับผลกระทบจากโลกร้อนสูง ไทยในฐานะประเทศเกษตรกรรมจึงยิ่งเสี่ยงมาก เช่น ข้าว งานวิจัยบางชิ้นพบว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้นทุก 1 องศาเซลเซียส เสี่ยงทำให้ผลผลิตข้าวลดลงถึง 10% ดังนั้นหากไบเดนได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีน่าส่งผลดีต่อการแก้ปัญหาโลกร้อน และดีต่อไทยในประเด็นนี้
ประการที่สอง ในประเด็นพลังงานทดแทน หรือพลังงานสะอาด หากไบเดนได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีน่าจะมีนโยบายส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น ความนิยมในพลังงานทดแทนมักส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวเพิ่มขึ้น ไทยในฐานะผู้ผลิตสินค้าเกษตรหลายตัวมีโอกาสได้รับประโยชน์ไปด้วย
ประการที่สาม การส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน หรือรถพลังงานไฟฟ้า น่าส่งผลให้ผู้ประกอบการด้านพลังงานทดแทนของไทย ตลอดจนผู้บริโภคตลาดสินค้าที่เกี่ยวข้องเช่น น้ำมัน รถพลังงานไฟฟ้า รถที่ใช้น้ำมัน ชิ้นส่วนรถยนต์ หรือสินค้าในห่วงโซ่ที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องของไทยควรจับตา
ดังนั้นในระยะยาว หากเราต้องการพลังงานสะอาด และประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่สนใจปัญหาโลกร้อน ไบเดนดูเป็นตัวเลือกที่ใช่กว่า