มีโอกาสผันผวนจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

มีโอกาสผันผวนจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

ตลาดหุ้นเอเชียและเกิดใหม่ช่วงสั้นมีโอกาสผันผวน

อันเนื่องมาจากการแข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งมีสาเหตุจาก 1) การเข้าสู่ช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนการเลือกตั้งประธานาธิปดีสหรัฐฯ ซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบาย 2) การที่สหรัฐฯ จะไม่มีมาตรการผ่อนคลายทางการเงินไปอีกระยะ (กระตุ้นเศรษฐกิจ) ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้ค่าเงินมีโอกาสแข็งค่าขึ้น 3) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งสัญญาณในการใช้มาตรการผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อช่วยประคองภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอง 2 และ 3 ในหลายประเทศ ซึ่งค่าเงินยูโรที่อ่อน ยิ่งหนุนการแข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งมักกดดันการเคลื่อนไหวของหุ้นในเอเชียและตลาดเกิดใหม่ อย่างไรก็ตามคงมุมมองบวกระยะกลางเกี่ยวกับการจัดสรรสินทรัพย์ (asset allocation) ที่น่าจะบวกจากการลดน้ำหนักหุ้นสหรัฐฯ เข้าเอเชียและตลาดเกิดใหม่

วัฎจักรของการปรับลดประมาณการกำไรหุ้นไทย น่าจะสิ้นสุดลงหลังงบไตรมาส 3/63 แม้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา หลังจากทำจุดสูงสุดที่ 1,454.95 จุด ในช่วงมิ.ย. จากแนวโน้มของการปรับลดประมาณการกำไร และความกังวลถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจและหนี้เสีย อย่างไรก็ตามเราเริ่มเห็นสัญญาณบวกของแนวโน้มการปรับตัวเลขประมาณการขึ้น ส่งผลให้วัฎจักรของการปรับลดประมาณการ (downgraded cycle) ที่กดดันหุ้นไทยมาตั้งแต่ต้นปี คาดว่าจะสิ้นสุดลงหลังประกาศงบไตรมาส 3/63 ทั้งนี้เราเริ่มเห็นสัญญาณของประมาณการกำไรที่ผ่านจุดต่ำสุดและน่าจะดีขึ้นในหุ้นหลายอุตสาหกรรม อาทิ ธนาคาร, อสังหาริมทรัพย์, ปิโตรเคมี, อาหาร และวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น

อยู่ในช่วงรอยต่อจากการหมุนจากหุ้นกลาง-เล็ก ไปยังหุ้นใหญ่ ช่วงที่ผ่านมาหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ปรับตัวขึ้นโดดเด่นกว่าหุ้นใหญ่ เนื่องจากแนวโน้มกำไรที่ดีกว่า อีกทั้งนักลงทุนต้องการหลีกเลี่ยงแรงขายหุ้นขนาดใหญ่ของนักลงทุนต่างชาติและสถาบัน จึงหลบเข้าลงทุนหุ้นกลาง-เล็ก อย่างไรก็ตามภาพของประมาณการกำไร SET Index ที่น่าจะผ่านจุดต่ำสุด มีแนวโน้มจะทำให้เกิดการหมุนกลุ่ม (rotation) และขายทำกำไร (profit taking) ออกจากหุ้นกลาง-เล็ก กลับไปยังหุ้นขนาดใหญ่ คาดหุ้นที่ได้ผลดีจากสถานการณ์โควิด ยังมีโมเมนตัมการเก็งกำไรเป็นบวกในระยะสั้น ได้แก่ STA, STGT, DELTA, SINGER, VNT, COM7 อย่างไรก็ตามควรเริ่มระวังแรงทำกำไรในหุ้นกลาง-เล็กทั่วไป ทั้งนี้การอ่อนตัวลงของ SET Index เรามองเป็นโอกาสซื้อและทยอยสะสมหุ้นขนาดใหญ่ที่ลงมาลึก มีโอกาสฟื้นตัว อาทิ BBL, KBANK, CPF, TU, PTTGC, PTT, SPALI และหุ้นที่มีกระแสเงินสดหรือผลประกอบการมั่นคง อาทิ ADVANC, WHAUP, SUPER, SSP, TIP เป็นต้น

ภาพรวมกลยุทธ์ คาด SET เคลื่อนไหวในกรอบจำกัด รวมถึงอาจซึมลงจากปัจจัยกดดันทั้งภายในและภายนอก ประเมิน downside ที่ 1180 จุด โดยยังระวังการกระชากขึ้นลงเพื่อขายทำกำไรหุ้นกลางเล็ก เพื่อเตรียมกลับเข้าหุ้นใหญ่ หลังเริ่มเห็นการปรับเพิ่มประมาณการกำไรบจ.ผ่านจุดต่ำสุด // หุ้นแนะนำวันนี้ เก็งกำไร STA*, AJ*, EPG*

แนวรับ 1,180 จุด / แนวต้าน : 1,208-1,215 จุด สัดส่วน : เงินสด 60% : พอร์ตหุ้น 40%

ประเด็นการลงทุน

ECB คงดอกเบี้ยตามคาด พร้อมส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินเดือน ธ.ค. ECB มีมติคงอัตราดอกบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0% และคงวงเงินเข้าซื้อพันธบัตร PEPP ไว้ที่ 1.35 ล้านล้านยูโร พร้อมส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินในเดือน ธ.ค.

US GDP 1Q63 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการ GDP ไตรมาส 3/63 ครั้งที่ 1 ที่ +33.1% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ รับแรงหนุนจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์

BANK NPL 2Q63 – ธปท.เปิดเผยตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ของแบงก์พาณิชย์ช่วงไตรมาส 3/63 อยู่ที่ 3.14% เทียบกับไตรมาส 2/63 ที่ 3.09%

สศค.ปรับคาดการณ์ GDP ปี 63 –ที่ -7.7% จากคาดการณ์เดิมที่ -8.5% โดยยังไม่รวมสถานการณ์การเมืองเนื่องจากมองว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจยังคงสามารถเดินหน้าได้อยู่ ก่อนโต +4.5% ในปี 64 ประกอบกับ ปัจจัยหนุนจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์

ประเด็นติดตาม: 30 ต.ค. – EU GDP 3Q63/ 2 พ.ย. – China Caixin Manufacturing PMI เดือน ต.ค./ EU Manufacturing PMI เดือน ต.ค./ US Manufacturing PMI เดือน ต.ค.

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)