'กัลฟ์' ยืนยันแหลมฉบังจบปีนี้ มั่นใจรัฐพอใจผลตอบแทน

'กัลฟ์' ยืนยันแหลมฉบังจบปีนี้  มั่นใจรัฐพอใจผลตอบแทน

“กัลฟ์” มั่นใจเจรจาผลตอบแทนท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 จบภายในปีนี้ ลงนามตามกำหนด เม.ย.2564 น้อยกว่า ครม.ตั้งไว้ไม่เกินหมื่นล้าน สกพอ.เร่งโครงการให้เปิดตามกำหนด

นายรัฐพล ชื่นสมจิตต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กัลฟ์ฯ มั่นใจว่าการเจรจาผลประโยชน์ตอบแทนโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 กับภาครัฐจะเสร็จภายในปี 2563 และจะมีการลงนามสัญญาร่วมลงทุนกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ภายในเดือน เม.ย.2564 โดยเชื่อว่าผลตอบแทนการเจรจาจะเป็นที่พอใจของรัฐ ซึ่งจะน้อยกว่าผลตอบแทนที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ตั้งไว้ไม่เกินกว่า 10,000 ล้านบาท

“เราเสนอผลตอบแทนในครั้งแรกต่ำเพราะยังไม่มั่นใจแนวโน้มปริมาณตู้สินค้า แต่ประเมินหลังจากนั้นเชื่อว่าจะมีปริมาณสูงขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีการระบาดของโรคโควิด-19 แต่เป็นการลงทุนระยะยาว 35 ปี จึงไม่น่าห่วงปัจจัยระยะสั้น” นายรัฐพล กล่าว

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ระบุว่า คณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 กำลังเจรจากับกลุ่มกิจการร่วมค้า GPC ประกอบด้วยบริษัทกัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (บริษัทในกลุ่ม ปตท.) และบริษัท ไชน่า ฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ต้องการให้ภาครัฐได้ผลประโยชน์ตอบแทนตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติมากที่สุด ซึ่ง ครม.เคยอนุมัติไว้ 32,225 ล้านบาท และกลุ่มกิจการร่วมค้า GPC มีข้อเสนอผลตอบแทนมากกว่าที่เคยเสนอครั้งแรกเกิน 100% รวมทั้งข้อเสนอก่อนหน้านี้ของกิจการร่วมค้า GPC ที่ต่ำกว่าที่ ครม.กำหนดไว้มากทำให้ภาครัฐเห็นว่าผลประโยชน์ตอบแทนยังไม่ถึงตามที่รัฐคาดหวัง

นายโชคชัย ปัญญายงค์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สกพอ.กล่าวว่า ภาครัฐมั่นใจว่าจะเร่งรัดขั้นตอนเจรจาเอกชนและคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2563 และลงนามสัญญาภายใน ก.พ.2564 รวมทั้งตามแผนจะเป็นการเพิ่มศักยภาพจากปัจจุบันรองรับตู้สินค้าได้ 11 ล้านทีอียู ต่อปี ให้เพิ่มเป็น 18 ล้านทีอียูต่อปี โดยจะเริ่มก่อสร้างท่าเทียบเรือ F1 ในเดือน ต.ค.2565 และเปิดบริการส่วนนี้ในปี 2567 รวมทั้งเปิดบริการท่าเทียบเรือ E ในปี 2573

รวมทั้งการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ในส่วนท่าเทียบเรือ F จะเพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพในการรองรับการขนถ่ายตู้สินค้าด้วยระบบจัดการตู้สินค้าแบบอัตโนมัติของท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งจะเป็นต้องขยายความจุท่าเรือตู้สินค้าและเร่งประมูลให้เสร็จ เพราะต้องรีบเพิ่มขีดความสามารถรองรับตู้สินค้า โดยท่าเรือแหลมฉบังจะมีตู้สินค้าเกินขีดความสามารถการรองรับในปี 2567–2568

ส่วนการท่าเทียบเรือ E จะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับของท่าเทียบเรือตู้สินค้าไม่น้อยกว่า 3 ล้านทีอียู ต่อปี รวมทั้งการพัฒนาท่าเทียบเรือ E0 จะเพิ่มขีดความสามารถในการขนถ่ายรถยนต์ 1 ล้านคัน

รวมทั้ง ภาครัฐเดินหน้างานถมทะเลบริเวณที่จะพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ในเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ได้เริ่มส่งมอบพื้นที่งานถมทะเลให้เอกชน และในเดือน ต.ค.2565 จะส่งมอบพื้นที่ให้เอกชนคู่สัญญาเข้าพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 เป็นงานพัฒนาเหนือพื้นดิน ใช้เวลาก่อสร้างราว 2 ปี และเสร็จเปิดให้บริการในปี 2567

ทั้งนี้ การประมูลพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 กำหนดให้ยื่นซองประมูลครั้งที่ 1 วันที่ 14 ม.ค.2562 มีผู้ยื่นซอง 1 ราย แต่ไม่ผ่านซองคุณสมบัติเพราะเอกสารไม่ครบ คือ บริษัท แอสโซซิเอท อินฟินิตี้ จำกัด ทำให้ต้องเปิดยื่นซองครั้งที่ 2 และมีผู้ยื่นซอง 2 ราย คือ 1.กลุ่มกิจการร่วมค้า GPC และ 2.กลุ่มกิจการร่วมค้า NPC