ระทึก ‘หุ้นแบงก์’ หลังตั้งสำรองฯพุ่ง พร้อมผ่านเกณฑ์วิกฤติแค่ไหน

ระทึก ‘หุ้นแบงก์’ หลังตั้งสำรองฯพุ่ง   พร้อมผ่านเกณฑ์วิกฤติแค่ไหน

ตัวเลขกำไรในไตรมาส 3ปี 2563 ของกลุ่มธนาคารที่ออกมายังลดลงต่อเนื่องนั้น เป็นไปตามคาดหมายว่าตัวเลขดังกล่าวจะยังไม่เห็นการฟื้นตัวแน่นนอน 

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการบริหารเงินกองทุนให้เตรียมรับกับหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นและอาจจะลามจนเกิดวิกฤติทางการเงินในอีก 2-3 ปีข้างหน้าตามที่แบงก์ชาติกังวล

หลังจากทั้ง 10 ธนาคารรายงานกำไรออกมาอยู่ที่ 29,688 ล้านบาท ลดลง 44.85 % จากช่วงเดียวกันปีก่อนและในรอบ 9 เดือน กำไรอยู่ที่ 106,836 ล้านบาท ลดลง 33 % จากช่วงเดียวกันปีก่อน

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตัวเลขกำไรลดลงต่อเนื่องนอกจากรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลง รายได้ค่าธรรมเนียมยังได้รับผลกระทบ และการปล่อยสินเชื่อยังจำกัดยิ่งในกลุ่มรายย่อย และ เอสเอ็มอี ตามมาตรการช่วยเหลือพัก-ยืดหนี้ให้กับลูกค้าทำให้ทุกธนาคารยังอยู่ในโหมดระมัดระวัง

ข้อดีของมาตรการดังกล่าวคือทำให้ตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของหลายๆธนาคารในไตรมาสดังกล่าวไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นจนน่ากังวลใจเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ซึ่งบางแห่งยังมีตัวเลขลดลงด้วยซ้ำ

ทางกลับกันมาตราการช่วยเหลือดังกล่าวคือการประวิงเวลาไม่ให้หนี้ทะลักจนกลายเป็นวิกฤติมาซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจในช่วงนี้ สะท้อนตัวเลขหนี้ที่ลูกค้าธนาคารพาณิชย์ขอความช่วยเหลือสูงถึง 7.2 ล้านล้านบาท ในเดือน ก.ค. แม้จะลดลงเหลือ 6.9 ล้านล้านบาทในเดือน ส.ค. และในจำนวนนี้ลูกหนี้สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติแล้ว 90%

หากแต่ยังอยู่ในระยะที่ยังว่างใจไม่ได้เพราะภาคการท่องเที่ยวยังขาดรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ท่ามกลางภาวะล็อกดาวน์ในหลายประเทศในยุโรปรวมทั้งสหรัฐที่ทำสถิติจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19รายใหม่ทำนิวไฮเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

ปัจจัยดังกล่าวจึงทำให้ผู้บริหารธนาคารเกือบทุกแห่งต้องนำกำไรที่เติบโตน้อยลงมาตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ ซึ่งด้านหนึ่งคือการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิต( ECL) เพิ่มสูงขึ้นในไตรมาสนี้

โดยรอบ 9 เดือน มีการตั้งสำรอง ECL เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ถึง 1.6 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 61.8 % ซึ่งธนาคารใหญ่ที่มีตัวเลขเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่คือกลุ่มที่มีฐานลูกค้าเอสเอ็มอี คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) อยู่ที่ 12,955 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33 % จากไตรมาสก่อน ขณะที่ NPL อยู่ที่ 3.32 %

และธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เพิ่มขึ้น 46.44 % จากไตรมาสก่อน ขณะที่ NPL อยู่ที่ 3.95 % ส่วนธนาคารที่ตั้งสำรอง ฯน้อยกว่า มีธนาคารกรุงไทย (KTB) ลดลง 15.6 % จากไตรมาสก่อน อยู่ที่ 12,414 ล้านบาท และธนาคารกรุงเทพ (BBL) ลดลง 57 % จากไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 5,700 ล้านบาท ซึ่งมาจากในไตรมาส 2 ที่ผ่านมามีการตั้งสำรองฯ ในอัตราที่สูงอยู่แล้ว

ตัวเลขดังกล่าวหากประเมินการเตรียมพร้อมของกลุ่มธนาคารเพื่อรองรับหนี้ที่จะสูงขึ้นหลังจากหมดมาตรการดังกล่าวเมื่อวันที่ 22 ต.ค. ถือว่าเป็นเบาะรองรับให้กับเสถียรภาพทางการเงินได้ค่อนข้างดี เพราะไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าผู้ที่สามารถกลับมาจ่ายคืนหนี้ได้แล้วจะไม่กลายมาเป็น NPL ในอนาคต

ด้วยเงินกองทุนขั้นที่ 1 ซึ่งทุกธนาคารในรอบนี้ล้วนปรับตัวเพิ่มขึ้นแทบทุกแห่ง ซึ่งยังไม่นับรวมกับบางแห่งที่เริ่มใช้ตราสารหนี้ออก ‘หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์’ ยอมจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูง 5.-5.5 % เพื่อดึงสภาพคล่องเข้ามาคำนวณในกองทุนเสริมความเข้มแข็งให้กับธนาคาร

นอกจากนี้ยังต้องไม่ลืมว่าเป็นการเตรียมพร้อมตัวเลขรับกับผลสอบ Stress test เพราะถ้าผ่านเกณฑ์ไร้ปัญหา และมีการประกาศผลออกมาเท่ากับหุ้นธนาคารจะสามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลได้ทันทีในงวดสิ้นปี 2563

ดังนั้นราคาหุ้นที่ลงไปถูกจนอัตราราคาหุ้นต่อราคาปิด (P/E) ลงมาต่ำในรอบ 10 ปี คือ 5 เท่า จนดันอัตราการจ่ายปันผลขึ้นมาในระดับ 5-6 % ซึ่งบางธนาคารจะสูงได้ถึง 9 % จึงทำให้หุ้นแบงก์ที่ไร้เสน่ห์จึงมีแรงเชียร์ ‘ซื้อ’ กลับรับปัจจัยดังกล่าวแต่จะทำให้ระยะยาวหุ้นแบงก์กลับมาน่าสนใจลงทุนคงต้องขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจจะฟื้นได้แค่ไหน