‘สุริยะ’ เมินผลกระทบโควิด เร่งดึงลงทุน EEC

‘สุริยะ’ เมินผลกระทบโควิด เร่งดึงลงทุน EEC

“สุริยะ” เมินผลกระทบโควิด ลุยขยายผลดึงลงทุน “อีอีซี” อุตสาหกรรมไบโอชีวภาพ ยานยนต์ไฟฟ้า ผนึก "คมนาคม" ดึงลงทุนระบบราง พร้อมเร่งพัฒนานิคมฯ รองรับการลงทุน

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวมรงานสัมมนา “EEC GO เดินหน้ําลงทุน” จัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ว่า ภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยขณะนี้อยู่ในภาวะที่ต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมาภาคอุตสาหกรรมไทยจะมีทิศทางการเติบโตที่ค่อนข้างดี แต่ปี 2562 เศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยเริ่มได้รับผลกระทบจากเหตุปัจจัยภายนอกมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่สงครามการค้าระหว่างประเทศจีนและสหรัฐ ซึ่งส่งผลให้การส่งออกในภาพรวมของโลกชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ 

ทั้งนี้ แม้ไทยกำลังเผชิญกับปัญหาอุปสรรคที่เป็นเครื่องบั่นทอนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่วันนี้ไทยมีโอกําสก้าวไปสู่การเจริญเติบโตต่อเนื่องได้ และอีกหนึ่งโอกาสสําคัญของประเทศ คือ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่เป็นเสมือนหัวจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยให้กลับมา เติบโตได้อีกครั้ง โดย EEC เป็น Mega Project ที่จะยกระดับความสาคัญของไทยในเอเชีย ตลอดจนสร้างประโยชน์ให้ประชาชนในพื้นที่ สร้างงาน คุณภาพ ภายใต้แนวคิดที่เน้นความครอบคลุมทั่วถึง

สำหรับการพัฒนา EEC นั้น มีความคืบหน้าในการพัฒนามาเป็นลำดับขั้น โดยแบ่งการพัฒนาเป็น 3 ระยะ คือ

1.การที่รัฐบาลเตรียมการวางกลไกที่เกี่ยวข้อง เช่น การตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2561 จึงสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนในและต่างประเทศว่าไทยจริงจังกับการพัฒนา EEC เพราะไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างไร แต่การพัฒนา EEC ยังเดินหน้าต่อ

2.การเตรียมการวางโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ซึ่งได้ทยอยลงนามแล้วทั้งรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน การขยายท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ในพื้นที่ทั้งหมด 1,000 ไร่ โดยลงนามในสัญญาร่วมลงทุนระหว่างการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กับ บริษัท กัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินอล จากัด มูลค่าการลงทุน 55,400 ล้านบาท โดยจะรองรับสินค้าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติและสินค้าด้านปิโตรเคมีได้เพิ่มอีกประมาณ 14 ล้านตัน ต่อปี

นอกจากนี้ มีโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา เมืองการบิน รวมไปถึงท่าเรือแหลมฉบังที่จะพัฒนาให้สามารถขนส่งสินค้า ได้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับประเทศไทย รวมทั้งสร้าง ความมั่นใจให้กับนักลงทุนเพิ่มขึ้นไปอีก

3.การชักจูงการลงทุนและการพัฒนาอุตสาหกรรม ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มุ่งเน้นการพัฒนา “อุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือ อุตสาหกรรม S-Curve” โดยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ดึงดูดการลงทุนต่อเนื่อง 

160369647647

ทั้งนี้ สะท้อนให้เห็นได้จากตัวเลขการขอรับส่งเสริมการลงทุนล่าสุดใน EEC ในเดือน ม.ค.-ส.ค.2563 มีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนใน EEC ทั้งสิ้น 277 โครงการ เงินลงทุนรวม 106,300 ล้านบาท โดยมูลค่าการขอรับส่งเสริมการลงทุนใน EEC คิดเป็นสัดส่วน 51% ของมูลค่าขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งประเทศ

รวมทั้งหากพิจารณาลึกลงไปถึงตัวเลขขอรับการส่งเสริมการลงทุนของ 10 อุตสาหกรรม เป้าหมายในพื้นที่ EEC พบว่า มีมูลค่ารวม 52,250 ล้านบาท โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ มีการลงทุนสูงสุด ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่ม อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ และกลุ่ม อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ

"ตั้งแต่ที่ผมรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ให้ความสาคัญกับการเชิญชวนและดึงดูดนักลงทุน ผู้ประกอบการต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในไทยเป็นนโยบายที่สาคัญ ถึงแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 จะสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) แต่จากความสามารถในการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาด และศักยภาพภายในที่ไทยมีอยู่" 

นอกจากนี้ เชื่อมั่นว่าไทยเป็นประเทศที่ยังได้รับความสนใจจากหลายประเทศในการย้ายฐานการลงทุนและฐานการผลิต โดยเฉพาะในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนจากจีน ไต้หวัน ฮ่องกงและญี่ปุ่น โดยเฉพาะการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร การแปรรูปสินค้าเกษตร และเครื่องมือทางการแพทย์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพและได้รับอานิสงส์ จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 ขณะที่ภาคการผลิตใน ประเทศเองเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวเช่นเดียวกัน

160371634183

ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้เตรียมความพร้อมในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม ทุกแห่งเพื่อเป็นฐานการผลิตที่สาคัญของภาคอุตสาหกรรมในภูมิภาคอาเซียนสาหรับ รองรับการย้ายฐานการผลิต (Relocation) ของนักลงทุน ที่ตอบโจทย์ทุกการแข่งขัน ด้วยศักยภาพของระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ได้มาตรฐานสากลแบบครบวงจร รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวก และการบริหารจัดการอย่างทั่วถึง ขณะเดียวกัน กระทรวง อุตสาหกรรม 

โดย กนอ. ยังมีโปรโมชั่นส่งเสริมการขายหรือเช่าที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม เพื่อจูงใจนักลงทุนให้มาลงทุน และมีมาตรการช่วยเหลือสาหรับนักลงทุนเดิมในนิคม อุตสาหกรรมให้ดำเนินธุรกิจได้คล่องตัวมากขึ้น ในสภาวะการแข่งขันปัจจุบัน ไม่ว่าจะขายในประเทศหรือผลิตเพื่อการส่งออก จึงเป็นแรงขับเคลื่อนอีกทางหนึ่งที่เร่ง ให้การลงทุนล็อตใหม่เกิดได้เร็วยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมยังขับเคลื่อนการพัฒนา อุตสาหกรรมเป้าหมาย ในมิติรายสาขา อย่างจริงจังและต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบ แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารปี 2562 - 2570 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ เมื่อวันที่ 28 เม.ย.2563 โดยมีเป้าหมายระยะยาวเพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารอนาคตแห่งอาเซียนควบคู่กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

สำหรับอุตสาหกรรมชีวภาพ ได้ออกมาตรการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมชีวภาพและผลักดันการดำเนินงานเรื่องนี้ต่อเนื่องจนเกิดผลท่ีเป็นรูปธรรม โดยได้เกิดโครงการลงทุนในผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ และเคมีชีวภาพแล้วในหลายพื้นที่ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวม 50,000 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในพื้นที่ EEC เช่น จ.ฉะเชิงเทรามี 2 โครงการใหญ่ ได้แก่ โครงการไบโอฮับเอเชีย มูลค่า 50,000 ล้านบาท ได้ยื่นขอเป็นเขตส่งเสริมของ EEC กับ กนอ. แล้ว เพ่ื่อผลิตไบโอดีเซลและเคมีชีวภาพ 

และโครงการนิคมอุตสาหกรรมบลูโอลิโอเทค ซิตี้ มูลค่า 12,500 ล้านบาท โดยอยู่ระหว่างการย่ืนขอเป็นเขตส่งเสริมของ EEC กับ กนอ. เพ่ื่อผลิตไบโอดีเซลและเคมีชีวภาพ นอกจากนี้ กระทรวงฯ ยังผลักดันผู้ประกอบการให้เกิดการลงทุนจัดตั้ง Bio Hub ในจังหวัดของภูมิภาค เช่น ฉะเชิงเทรา ลพบุรี อุบลราชธานี

สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคตและรถไฟฟ้า กระทรวงฯ ได้เร่งผลักดันการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในไทย (xEV) ต่อเนื่อง และได้ประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ เมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีมติเห็นชอบแผน Roadmap ของการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งวางเป้าหมายในปี ค.ศ.2030 หรือปี พ.ศ.2573 ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (xEV) 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมด

ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงคมนาคมเร่งกำหนดเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการสนับสนุนให้มีการย้ายฐานการผลิตรถไฟและรถไฟฟ้ามาที่ประเทศไทย โดยอาศัยกลไกการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ซึ่งปัจจุบัน คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางและ อุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง ตามท่ี่กระทรวงคมนาคมเสนอ ซึ่งหากสร้างให้เกิดอุตสาหกรรมการผลิตระบบขนส่งมวลชนทางรางและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง

สำหรับการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อดึงดูดการลงทุนใน EEC ในระยะต่อไป แน่นอนว่าเราจะยังไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้ กระทรวงอุตสาหกรรม จะเดินหน้าต่อยอดขยายผลเพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนจริงใน EEC ให้มากขึ้น และจะเร่งเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างเต็มที่ 

"ผมเชื่อมั่นว่าโมเดลการพัฒนาที่ดี และการขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติ อย่างต่อเนื่องและจริงจัง ภายใต้การบูรณาการความร่วมมือของทุกฝ่าย เมื่อผนวกกับศักยภาพของไทยในการเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง ความพร้อมของปัจจัยพื้นฐานทั้งสิทธิประโยชน์การลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐาน" 

รวมทั้งความมุ่งมั่นตั้งใจจริงของรัฐบาลในการบริหารราชการ แผ่นดินและการบริหารจัดการสถานการณ์ในภาวะวิกฤติในช่วงเวลาต่อจากนี้ไป โดยแต่ละกระทรวงพร้อมใจกันขับเคลื่อนการดำเนินงานตามภารกิจของตนเอง ภายใต้การบูรณาการทำงานร่วมกัน โดยมีนโยบายรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติเป็นเป้าหมายร่วมกัน ย่อมส่งผลให้เกิดเม็ดเงินลงทุนที่จะไหลเข้า EEC ซึ่งจะช่วย พลิกฟื้นวัฏจักรแห่งการลงทุนและเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ของประเทศให้ฟื้นตัว กลับมาเติบโตได้ตามปกติ และมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้นในระยะยาว