ทำกำไรโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งสหรัฐฯ
สถานการณ์ทางการเมืองในช่วงนี้ 'ร้อนแรง' ทั้งไทยและสหรัฐฯ ฝั่งไทยอาจยังยากที่จะหาทางออก ขณะที่ฝั่งสหรัฐฯ จะได้เห็นความชัดเจนหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดี และจะสามารถชี้ได้ว่าภาพเศรษฐกิจและการลงทุนจะเป็นไปในทิศทางใด และจะส่งผลต่อภาพรวมของเศรษฐกิจโลก !
สถานการณ์ทางการเมืองในช่วงนี้ร้อนแรงทั้งของไทยและสหรัฐฯ ฝั่งประเทศไทยนั้นอาจยังยากที่จะหาทางออก ในขณะที่ฝั่งสหรัฐฯ จะได้เห็นความชัดเจนหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดี และจะสามารถชี้ได้ว่าภาพเศรษฐกิจและการลงทุนของสหรัฐฯ จะเป็นไปในทิศทางใด และจะส่งผลต่อภาพรวมของเศรษฐกิจโลกอย่างไร
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 3 พ.ย. นี้ จะทำให้เราได้ทราบว่าผู้นำประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกคือใครระหว่างประธานาธิบดีคนปัจจุบันอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรค Republican และผู้ท้าชิงอย่าง โจ ไบเดน จากพรรค Democrat ซึ่งนโยบายในการบริหารประเทศของทั้ง 2 ท่านนั้น แตกต่างกันพอสมควร โดยในส่วนของแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ นายโจ ไบเดน มีนโยบายวางแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยวงเงินขนาดใหญ่ถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยจะเน้นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน สวัสดิการสุขภาพ และการลงทุนพัฒนาด้านพลังงานสะอาด ซึ่งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวงเงินมหาศาลนี้ ทำให้ โจ ไบเดน ต้องการที่จะปรับขึ้นภาษีรายได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เพื่อชดเชยการขาดดุลการคลังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนั้น ไบเดน ยังมีท่าทีเข้มงวดต่อบริษัทขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ เพื่อป้องกันการผูกขาด
ในขณะที่ โดนัลด์ ทรัมป์ มีท่าทีโอนอ่อนต่อภาคธุรกิจขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ มากกว่า และยังต้องการขยายเวลาการลดภาษีต่อไปทั้งภาษีบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ส่วนนโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศ โจ ไบเดน มีท่าทีประนีประนอมกว่า โดนัลด์ ทรัมป์ โดย โจ ไบเดน เน้นการเจรจาร่วมกับกลุ่มประเทศพันธมิตร มากกว่าการตั้งกำแพงภาษีแบบ โดนัลด์ ทรัมป์
หากประเมินผลสำรวจคะแนนนิยมจาก RealClearPolitics พบว่า โจ ไบเดน มีคะแนนนิยมทิ้งห่างจาก ทรัมป์ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ณ วันที่ 20 ต.ค. ไบเดนมีคะแนนนำอยู่ที่ 8.6 จุด ต่างจากการเลือกตั้งครั้งก่อนที่คะแนนนิยมระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ และ นางฮิลลารี คลินตัน ค่อนข้างผันผวน โดยมีบางช่วงที่คะแนนนิยมของ ทรัมป์ สูงกว่านางฮิลลารี คลินตัน ซึ่งสุดท้าย ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง แม้จะได้คะแนนนิยมที่น้อยกว่า
หากการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นไปตามผลสำรวจ และโจ ไบเดน เป็นฝ่ายชนะ คาดว่าจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มตลาดเกิดใหม่ เนื่องจากการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวงเงินมหาศาลของไบเดน จะทำให้การขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ สูงขึ้น ส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ให้อ่อนค่าลง ประกอบกับนโยบายทางการค้าที่ผ่อนคลายลง จะส่งผลดีต่อกลุ่มตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะจีน ที่เผชิญแรงกดดันทางการค้ามาโดยตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ในทางกลับกันชัยชนะของไบเดน อาจกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ เอง จากนโยบายปรับขึ้นอัตราภาษีทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล
อย่างไรก็ตาม การคาดเดาผลการเลือกตั้งเพื่อกำหนดทิศทางการลงทุนเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก และมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งโดยธรรมชาติของตลาดหุ้นมักไม่ชอบความไม่แน่นอน ทำให้ช่วงก่อนการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นจะมีความผันผวนค่อนข้างสูง และยังมีความเป็นไปได้ว่าอาจผันผวนต่อเนื่องไปถึงช่วงหลังการเลือกตั้ง ซึ่งจากข้อมูลตั้งแต่ปี 1936-2017 พบว่า ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง 1 – 6 เดือน หากตลาดหุ้นปรับตัวบวกต่อเนื่องสะท้อนความมั่นใจในตัวผู้นำหรือพรรครัฐบาลอย่างชัดเจน พรรครัฐบาลมักชนะการเลือกตั้งต่ออีกสมัย แต่ในกรณีที่พรรครัฐบาลมีคะแนนนิยมที่ไม่ชัดเจน ตลาดหุ้นจะมีทิศทางไม่แน่นอนก่อนการเลือกตั้ง ส่วนหลังการเลือกตั้ง พบว่า ในช่วง 1 เดือนหลังจากเลือกตั้ง ตลาดหุ้นมักปรับตัวลง ทั้งนี้ อาจเนื่องมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความไม่มั่นใจในทิศทางการบริหารประเทศ หรือแม้กระทั่งการเทขายทำกำไรหลังตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นไปสูงช่วงก่อนการเลือกตั้ง และในการเลือกตั้งครั้งนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ เคยแสดงความคิดเห็นที่ค่อนข้างชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการลงคะแนนแบบ Mail-in (การลงคะแนนผ่านไปรษณีย์สหรัฐฯ) ดังนั้น มีความเป็นไปได้ว่า หาก โจ ไบเดน ชนะการเลือก อาจมีการทักท้วงจากทรัมป์ให้มีการนับคะแนนใหม่ ซึ่งในอดีตเคยเกิดเหตุการณ์ลักษณะคล้ายกันนี้เมื่อปี 2000 และใช้เวลาร่วมเดือนในการนับคะแนนใหม่ จนท้ายที่สุด ศาลสูงสุดสหรัฐฯ ตัดสินให้ยึดตามคะแนน Electoral Vote ตามเดิม ซึ่ง George H. W. Bush มีคะแนนสูงกว่าคู่แข่ง และได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในครั้งนั้น แน่นอน หากเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ตลาดหุ้นจะมีโอกาสผันผวนสูงมาก
นอกจากนั้น เมื่อพิจารณาที่มูลค่าตลาดในตอนนี้ พบว่า ปัจจุบัน ดัชนี S&P 500 ซื้อขายอยู่ในระดับราคาที่ค่อนข้างสูง โดยมีค่า P/E อยู่ที่ 21.9 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่อยู่ที่ประมาณ 17 เท่า ซึ่งนับว่าสูงมากท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่ยังคงอยู่ในระดับชะลอตัว และสถานการณ์ COVID-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย
ที่มา: Strategas Research Partners
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ยังคงแนะนำให้แบ่งขายทำกำไร เพื่อลดความผันผวนของพอร์ตลงทุน และยังเป็นการช่วยปรับพอร์ตในกรณีที่สัดส่วนการลงทุนในบางกองทุนมีสัดส่วนสูงเกินไปจากราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วจึงค่อยหาจังหวะซื้อช่วงหลังการเลือกตั้งที่การเมืองมีความชัดเจน
หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง สามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่ [email protected] I บทความโดย ณัฐพร ธรวงศ์ธวัช AFPTTM Wealth Manager