ธปท.ห่วงวิกฤติโควิด ฉุดรายได้-ความสามารถชำระหนี้ภาคครัวเรือนทรุด เตรียมออกมาตรการดูแลเพิ่มเติม “อาคม”สั่งแบงก์รัฐอุ้มลูกหนี้ ประเมินภาพรวมหนี้เสี่ยงสูงตั้งแต่ 4.9%-15% ของพอร์ตสินเชื่อรวม เล็งถกแบงก์ชาติรื้อเงื่อนไข
ธปท.ห่วงวิกฤติโควิด-19 ฉุดรายได้-ความสามารถชระหนี้ภาคครัวเรือนทรุด ซ้ำเติมวิกฤติหนี้ครัวเรือนพุ่ง เตรียมออกมาตรการดูแลเพิ่มเติม “อาคม”สั่งแบงก์รัฐอุ้มลูกหนี้ ประเมินภาพรวมหนี้เสี่ยงสูงตั้งแต่ 4.9%-15% ของพอร์ตสินเชื่อรวม เล็งถกแบงก์ชาติรื้อเงื่อนไขซอฟท์โลนช่วยเอสเอ็มอี
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า วิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้สุขภาพการเงินของคนไทยอ่อนแอลงมากขึ้น จากการถูกลดชั่วโมงการทำงาน ทำให้ขาดสภาพคล่อง ส่งผลให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากไตรมาส 1 ปี 2563 ที่หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 80% ของจีดีพี มาอยู่ที่ 83.8% ในไตรมาส 2 ปี2563
จากความสามารถชำระหนี้ของครัวเรือนี่ลดลง รายได้ที่หายไปจากการว่างงาน ที่ยังไม่กลับสู่ระดับปกติ จึงกระทบต่อความสามารถชำระหนี้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นคาดว่าหนี้ครัวเรือนระยะข้างหน้าขยับเพิ่มขึ้น เพราะปัญหารอบนี้ ต้องใช้เวลานานถึง 2 ปี กว่าที่กิจกรรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมาสู่ระดับปกติ เหมือนก่อนเกิดโควิด-19 ซึ่งจะเห็นได้ในไตรมาส 3 ปี 2565
“รายได้ของครัวเรือนที่ถูกกระทบจากปัญหาของโควิด-19 และหากดูตัวเลขว่างงานที่ประกาศออกมา แม้จะอยู่ระดับต่ำ เพราะคนอาจออกจากบางเซกเตอร์การผลิต บริการ ท่องเที่ยว ไปทำอย่างอื่นๆ ไปอยู่ภาคเกษตร และไปทำงานที่ไม่เต็มเวลา แม้ว่างงานไม่สูง แต่จำนวนชั่วโมงการทำงานลดลง กระทบต่อรายได้และมีเป็นนัยต่อการชำระหนี้ และความสามารถชำระหนี้ลดลง”
ท่องเที่ยวอาการหนัก
กลุ่มที่มีความเปราะบางต่อหนี้ครัวเรือนสูง หลักๆคือภาคธุรกิจท่องเที่ยว เพราะมีการจ้างงานสูง หากเที่ยบกับกลุ่มส่งออก ที่แม้การส่งออกจะมีความสัมพันธ์กับระบบเศรษฐกิจสูง โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมี ยานยนต์ จะมีน้ำหนักการส่งออกถึงครึ่งหากเทียบกับส่งออกทั้งหมด แต่หากดูมิติด้านการจ้างงานพบว่า กลุ่มส่งออกมีการจ้างงานไม่ถึง 4%
จากปัญหาเศรษฐกิจที่ลากยาว ธปท.มองว่า มีความจำเป็นที่จะต้องออกมาตรการเพิ่มเติม เพื่อแก้ไขปัญหา ส่วนจะออกได้เมื่อไหร่นั้น ขณะนี้ธปท.กำลังดูอย่างเคร่งครัดให้มีความเหมาะสม เพราะวิกฤติรอบนี้ จะใช้เวลานาน และมีความไม่แน่นอนสูง ดังนั้นมาตรการที่ออกมาต้องอยู่ในรูปแบบ ที่มีความยืดหยุ่น และครบถ้วน และเครื่องมือที่ออกมาต้องแก้ครบวงจร
อย่างไรก็ตามในระหว่างนี้ธปท.ได้ติดตามดูแลการปรับโครงสร้างหนี้ต่างๆ เพื่อไม่ทำให้ปัญหาหนี้ต่างๆเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า รวมทั้งร่วมมือกับสถาบันการเงินในการออกมาตรการช่วยบรรเทาผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 เพื่อให้ภาคธุรกิจและประชาชนที่เป็นลูกหนี้สามารถก้าวผ่านวิกฤติไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย การลดอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำของสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลต่างๆ
ห่วงพักหนี้เหมาเข่ง
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ในระยะยาว ธปท.ได้ส่งเสริมให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ เปลี่ยนสินเชื่อบุคคลเป็นสินเชื่อระยะยาว รวมถึงโครงการคลินิกแก้หนี้ เพื่อแก้ปัญหาระยะยาว และช่วยบรรเทาภาระหนี้ให้แก่กลุ่มครัวเรือน ที่รายได้ลดลง เมื่อกลับมาหลังคลายล็อกดาวน์โควิด-19 ได้
“สิ่งที่เราอยากสื่อออกไป จากมาตรการพักหนี้ ที่เป็นการปูพรม เหมาเข่ง ไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีกับลูกหนี้ ไม่ได้เป็นทางออกที่ยั่งยืนสำหรับลูกหนี้ เพราะดอกเบี้ยยังเดินอยู่ ดังนั้นเราห่วงว่า หากพักหนี้แบบปูพรมไว้ ภายใต้ดอกเบี้ยที่ยังเดินอยู่ หนี้เหล่านี้จะกลายเป็นบอลลูน ดังนั้นการดูแลลูกหนี้ต้องดูตามความจำเป็นของแต่ละราย ให้เหมาะกับลูกหนี้ และหาทางออกโดยการคุยกับแบงก์”
“อาคม”สั่งแบงก์รัฐอุ้มลูกหนี้
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ได้สั่งการให้แบงก์รัฐดูแลลูกค้า หลังพ้นกำหนดพักชำระหนี้ หลังประเมินว่า แบงก์รัฐแต่ละแห่งมีลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูงอยู่ระดับหนึ่ง หรือ ตั้งแต่ 4.9%-15% ของพอร์ตสินเชื่อแบงก์รัฐแต่ละแห่ง
โดยจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังไม่คลี่คลายในระดับโลก ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี แม้ว่ารัฐบาลจะเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ บางส่วนเช่นการเปิดให้นักท่องเที่ยวจากจีนกลุ่มแรกเข้ามาท่องเที่ยวภายในประเทศได้แล้วก็ตาม ตนจึงขอให้สถาบันการเงินของรัฐ ช่วยดูแลลูกค้าของตนเอง หลังพ้นมาตรการพักหนี้ของธปท.
ข้อมูลล่าสุดทั้งระบบสถาบันการเงิน มีลูกค้าเข้าโครงการพักชำระหนี้ 12.12 ล้านราย เป็นวงเงินที่พักการชำระหนี้ 6.9 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นลูกค้าแบงก์รัฐ จำนวน 6.57 ล้านราย เป็นวงเงินที่พักชำระหนี้ 2.89 ล้านล้านบาท
นายอาคม ยังกล่าวถึง พ.ร.ก.ซอฟท์โลน เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีของ ธปท.ว่า กำลังหารือว่าจะมีการผ่อนคลายหลักเกณฑ์ของพ.ร.ก.นี้ได้อย่างไร เนื่องจาก พ.ร.ก.ฉบับนี้ กำหนดการช่วยเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากโควิดเท่านั้น
คลังชี้แบงก์รัฐแกร่ง
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สถานะของแบงก์รัฐยังแข็งแกร่ง โดย BIS ratio อยู่ในระดับที่สูง และมีการกันสำรองเกินกว่าหนี้เสีย เช่น ออมสิน มี BIS อยู่ที่ 15.4 % กันสำรองอยู่ 1.2 เท่า, ธกส. BIS อยู่ที่ 12.5% และกันสำรอง 5.6 เท่า และ ธอส. BIS อยู่ที่ 15.3% และกันสำรอง 1.6 เท่า
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้แต่ละธนาคารได้รายงานถึงสถานะของลูกหนี้ที่เข้าสู่โครงการพักชำระหนี้ โดยเอสเอ็มอีแบงก์มีลูกค้าพักชำระหนี้เป็นวงเงิน 6.1 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นลูกค้าที่อ่อนแอและชำระหนี้ไม่ได้ตามปกติราว 2 หมื่นล้านบาท มีลูกหนี้เสี่ยงสูงราว 15% ของพอร์ต มีแผนต่ออายุมาตรการพักหนี้ให้โดยจะประเมินเป็นรอบๆ
ด้านธอส.ซึ่งจัดลูกค้าเป็น 3 กลุ่ม เขียว เป็นลูกค้าที่ไม่มีปัญหา เหลือง เฝ้าระวังและ แดง เป็นลูกค้าที่มีปัญหาการชำระหนี้ ซึ่งพบว่า จากพอร์ตของ ธอส. 1.27 ล้านล้านบาท เป็นลูกค้ากลุ่มสีเขียว 67% ,เหลือง 27% และ แดง 4.9% ซึ่งธนาคารเตรียมขยายอายุมาตรการพักหนี้ออกไปถึงเม.ย.ปี 2564
สำหรับธนาคารออมสิน ซึ่งมีลูกค้าเข้าโครงการพักหนี้ 1.1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 3 ล้านบัญชี ซึ่งการประเมินภายในของธนาคาร พบว่ามีลูกค้าประมาณ 10% ที่เราต้องเข้าไปดูแลเป็นพิเศษ มีแผนต่ออายุมาตรการพักหนี้ออกไปอีก 6 เดือน จากสิ้นปีนี้ โดยจะดูแลเป็นรายๆ ด้านธ.ก.ส.ยังอยู่ระหว่างการประเมินว่า มีหนี้เสี่ยงสูงจำนวนเท่าใด ขณะที่ พอร์ตสินเชื่ออยู่ที่ 1.5 ล้านล้านบาท เข้าโครงการพักหนี้ 100% มีโครงการพักชำระหนี้ 1 ปี และต่ออายุเป็นรายๆ