KBANK - ถือ

KBANK - ถือ

ผลประกอบการ 3Q63: ลดสำรองลงครึ่งหนึ่งเพื่อช่วยกำไร

Event

กำไรสุทธิของ KBANK ใน 3Q63 อยู่ที่ 6.6 พันล้านบาท (+207% QoQ แต่ -33% YoY) ดีกว่าประมาณการของเรา/consensus 230%/10% เพราะค่าใช้จ่ายในการกันสำรอง แต่หากไม่รวมรายการกันสำรองกำไรจากธุรกิจหลักจะต่ำกว่าประมาณการของเรา 5% เพราะรายได้ค่าธรรมเนียมต่ำเกินคาด ในขณะที
กำไรสุทธิใน 9M63 อยู่ที่ 1.62 หมื่นล้านบาท มากกว่าประมาณการกำไรปีนี้ของเราที่ 1.55 หมื่นล้านบาท

lmpact

รายได้ลดลง 11% QoQ และ 12% YoY ใน 3Q63 ในขณะที่ลดลง 2% ใน 9M63 NII ขยับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1% QoQ และ 4% YoY ใน 3Q63 และ 7% ใน 9M63 ตามสินเชื่อ และ NIM ที่เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ในขณะเดียวกัน non-NII (ไม่รวมกำไรจากการปรับมูลค่าเหมาะสมของสินทรัพย์) หลายรายการก็ลดลง ทำให้รายได้หลักจากธุรกรรมการธนาคารลดลง 3% QoQ และ -18%YoY เนื่องจากค่าธรรมเนียมธุรกรรม และค่าธรรมเนียมนายหน้าค้าหลักทรัพย์ลดลง

ตัดสำรองลงครึ่งหนึ่งในไตรมาส 3/63 แต่ยังคงเพิ่มขึ้น 70% ในงวด 9 เดือน

หลังจากที่ธนาคารกำหนด credit cost ไว้สูงถึงประมาณ 380 bps ใน 2Q63 ก็ปรับลดลงมาครึ่งหนึ่งใน 3Q63 ผู้บริหารบอกว่าสถานการณ์ใน 3Q63 ดูไม่เลวร้ายเหมือนกับใน 2Q63 และไม่หนักเท่าที่คาดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ดังนั้น ธนาคารจึงตัดสินใจลดสำรองลง เราคิดว่าคำอธิบายนี้ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเพราะมีหนี้
ที่มีปัญหาขอเข้าโครงการผ่อนผันหนี้เพิ่มอีก โดยเฉพาะสินเชื่อรายย่อย โดยมีสัดส่วนหนี้ที่ออกจากโครงการเพียงเล็กน้อยเท่านั้นใน 3Q63

ต้นทุนจะไปหนักใน 4Q63

เนื่องจากสินเชื่อมีปัญหาที่อยู่ในโครงการผ่อนผันหนี้คิดเป็น 40% ของสินเชื่อรวม และส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อธุรกิจ กลุ่มที่น่าเป็นห่วงคือ SME เพราะกว่า 50% ของสินเชื่อ SME ยื่นขอเข้าโครงการรับความช่วยเหลือ ซึ่งอาจจะกลายเป็น NPL ใน 4Q63 ทั้งนี้ ในกลุ่มหนี้ที่เข้าร่วมโครงการ เป็นลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูงประมาณ 2.08 แสนล้านบาทซึ่งต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมอีก ดังนั้น เพื่อความระมัดระวังเราจึงเป็นห่วงว่าธนาคารอาจจะต้องตั้งสำรองเพิ่มอีกใน 4Q63

ปรับลดประมาณการปี 64F ลง 10% และปรับลดราคาเป้าหมายปีหน้าลง 9% เหลือ 88บาท (P/BV 0.5x) ถึงแม้ว่าผลประกอบการใน 9M63 จะคิดเป็น 100% ของประมาณการกำไรปีนี้ของเราแล้ว แต่ความเสี่ยงที่อาจจะต้องตั้งสำรองเพิ่ม และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่จะเพิ่มขึ้นใน 4Q63 ก็เป็นสองปัจจัยที่กดดันแนวโน้มผลประกอบการ และทำให้เรายังคงประมาณการกำไรปีนี้เอาไว้เท่าเดิม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผู้บริหารคาดว่าการฟื้นตัวจะกินเวลานานขึ้นไปจนถึง 2H64 เราจึงปรับลดประมาณการกำไรปี 2564 ลง 10% จากการปรับเพิ่มสมมติฐาน credit cost ขึ้นอีก 20bps และปรับลดประมาณการรายได้ค่าธรรมเนียมลง ทั้งนี้ เมื่อใช้ P/BV ที่ 0.5x หรือคิดเป็น P/E ที่ 13x ทำให้เราได้ราคาเป้ าหมายใหม่ที่ 88 บาท (ลดลงจากเดิมที่ 95 บาท) ด้วยราคาที่ต่ำมาก เราปรับยังคงคำแนะนำเป็น ถือ