ยังคงระวังความผันผวนในระดับสูงจนหลังการเลือกตั้งปธน.
แผนกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดูเสี่ยงมากขึ้นจากเวลาที่น้อยลง
แม้ล่าสุดมำเนียบขาวจะเพิ่มวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจเป็น 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ยังคงต่างกับที่เดโมแครด เสนอที่ 2.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดสรรเงินที่แตกต่าง ทำให้มีความเสี่ยงที่แผนกระตุ้นเศรษฐกิจอาจจะไม่แล้วเสร็จก่อนการเลือกตั้งประธานาธิปดี และอาจกลับมาคุยใหม่หลังการสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง 20 ม.ค.64 ซึ่งจะทำเกิดความเสี่ยงที่โมเมนตัมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่เป็นผู้บริโภคหลักของโลกอาจชะลอลง
ยังคงระวังความผันผวนในระดับสูงจนหลังการเลือกตั้งปธน. แม้นักลงทุนจะมีมุมมองบวกต่อแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อมองจากการอ่อนค่าของเงินเหรียญสหรัฐฯ และการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นแตะ 0.82% อย่างไรก็ตามเราประเมินความผันผวนจากการปรับพอร์ตลงทุนทั้งก่อนและทราบผลเลือกตั้งจะยังอยู่ในระดับสู่ง เนื่องจาก 1) ผลการเลือกตั้งแบบคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral vote) ซึ่งมีลักษณะถ่วงน้ำหนักไม่เท่ากันในแต่ละรัฐ ทำให้ประเมินผลลัพธ์การเลือกตั้งได้ยาก 2) นโยบายที่แตกต่างกันมากในหลายด้าน (พลังงาน, สาธารณสุข และภาษี) ทำให้การปรับพอร์ตล่วงหน้าทำได้ลำบาก และเราอาจจะเห็นความผันผวนหลังทราบผู้ชนะเลือกตั้งที่แน่นอนแล้ว
แม้พัก 3 วัน การชุมนุมมีโอกาสยกระดับขึ้น แม้ในช่วงเย็นวานนี้นายกรัฐมนตรี ได้มีแถลงการณ์แสดงความประสงค์จะที่ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่ไมได้ให้กรอบเวลา ขณะที่มีการจับกุมแกนนำเพิ่มเติม ทำให้เรามองเป็นการยากที่นายกรัฐมนตรีจะตัดสินใจลาออก และประเมินการชุมนุมช่วงสุดสัปดาห์นี้จะยกระดับขึ้น ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงของการปะทะทั้งกับมวชนฝ่ายตรงข้ามและเจ้าหน้าที่
แม้ระยะสั้น SET index ยังเสี่ยงต่อความผันผวนจาก 1) การเลือกตั้งสหรัฐ วันที่ 3 พ.ย., 2) สถานการณ์แพร่ระบาดโควิดระลอกสอง, 3) การเมืองภายในประเทศ, และ 4) การประกาศตัวเลขผลประกอบการบจ. ไตรมาส 3/63 อย่างไรก็ตาม เรามองระดับดัชนีบริเวณ 1220 หรือต่ำกว่า เป็นจุดเสี่ยงซื้อ โดย เรามองปัจจัยบวกจาก ไซเคิลการปรับลดประมาณการกำไรตลาดหุ้นไทยปี 64 ที่ใกล้ผ่านจุดต่ำสุด, ความคืบหน้าเรื่องวัคซีน, รวมถึง กระแสเงินทุนที่คาดหมุนออกจากตลาดบอนด์กลับสู่หุ้น จะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่ทำให้ค่าเฉลี่ย SET index ในปีหน้าไม่ควรต่ำกว่าระดับ 1200 จุด (พิจารณาจากโมเดล earnning spreads) เน้นเลือกลงทุนรายตัวในกลุ่มหุ้นที่มีปัจจัยบวก (catalyst) หนุนชัดเจน
เลือกลงทุนรายตัว เน้นหุ้นปลอดภัย ระวังกลุ่มท่องเที่ยว ได้แก่ CPF, TU, TIP, THRE, ADVANC, INTUCH, DIF, JASIF, SUPEREIF, BTSGIF, BCH, CHG, WHAUP, EASTW, SUPER, SSP ขณะที่ระวังกลุ่มท่องเที่ยว หลังตัวเลขอัตราเข้าพักก.ย.ออกมาที่ 34.32% (ส.ค.ที่ 31.65%) แต่รายได้จากการท่องเที่ยว ลดลงเหลือเพียง 7.63 หมื่นลบ. (ส.ค.ที่ 8.65 หมื่นลบ.) ทำให้หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวโดยเฉพาะโรงแรมคาดจะยังมีผลขาดทุนอีกนาน ขณะที่ภาระหนี้จะสร้างแรงกดดันต่อโอกาสเพิ่มทุน โดยตลาดจะประเมินสิ่งนี้จากงบไตรมาส 3/63
ภาพรวมกลยุทธ์ คาด SET เคลื่อนไหวในกรอบจำกัด ประเมิน downside ที่ 1180-1200 จุด โดยยังระวังการขายทำกำไรหุ้นกลางเล็กและกลับเข้าหุ้นใหญ่ หลังเริ่มเห็นการปรับเพิ่มประมาณการกำไรบจ. ทำให้ความผันผวน หรือจังหวะที่ตลาดตกใจ จะเป็นจังหวะดีในการทยอยซื้อหุ้นใหญ่พื้นฐานดี // หุ้นแนะนำวันนี้ STA เก็งกำไร KBANK*, ACE*, THRE*
แนวรับ 1,200 จุด / แนวต้าน : 1,250-1,260 จุด สัดส่วน : เงินสด 60% : พอร์ตหุ้น 40%
ประเด็นการลงทุน
รฟม.ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลคู่เดินหน้าประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มด้วยเกณฑ์เดิม – ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้กลับมาใช้หลักเกณฑ์การประเมินการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์)
ประเด็นติดตาม: 22 ต.ค. – SCGP เทรดวันแรก / Beige Book / US initial jobless claims, 23 ต.ค. – US manufacturing PMI
(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)