การรับมือโควิดของสหรัฐบน'ความคิด'ที่เห็นต่าง

การรับมือโควิดของสหรัฐบน'ความคิด'ที่เห็นต่าง

การรับมือโควิดของสหรัฐบน“ความคิด”ที่เห็นต่าง ขณะซีดีซีเรียกร้องให้มีการสวมหน้ากากอนามัยที่ศูนย์กลางการขนส่งต่างๆ เช่น สนามบิน และสถานีรถไฟเพื่อให้เดินทางได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น

การสวมหน้ากากอนามัยในสหรัฐ หรือไม่สวม ยังคงเป็นประเด็นที่เห็นต่างกันอยู่มากในหมู่ชาวอเมริกัน และยังคงเป็นประเด็นที่ตั้งอยู่บนปมขัดแย้งทางการเมือง เพราะหากเป็นชาวอเมริกันสายผู้นำ ก็จะไม่สวม ไม่ว่าจะไปรวมตัวกันที่ไหน คนกลุ่มนี้จะไม่ให้ความสำคัญกับการสวมหน้ากากอนามัยเลย โดยเฉพาะประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ไม่ให้ความสำคัญกับการสวมหน้ากากอนามัยมาตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในแผ่นดินสหรัฐ

ล่าสุด ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ (ซีดีซี) ได้ออกคำแนะนำอย่างชัดเจนให้ผู้โดยสารและพนักงานทุกคนบนเครื่องบิน รถไฟ รถไฟใต้ดิน รถโดยสาร รถแท็กซี่ และรถร่วมโดยสาร ควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

พร้อมกันนี้ ซีดีซี ยังเรียกร้องให้มีการสวมหน้ากากอนามัยที่ศูนย์กลางการขนส่งต่างๆ เช่น สนามบิน และสถานีรถไฟ โดยระบุว่า “การสวมหน้ากากอนามัยเป็นประจำและอย่างกว้างขวางในระบบขนส่งสาธารณะจะช่วยปกป้องชาวอเมริกันได้ และสร้างความมั่นใจว่า เราจะสามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19”

สายการบิน บริษัทรถไฟ และระบบขนส่งสาธารณะส่วนใหญ่และสนามบินในสหรัฐ กำหนดให้ผู้โดยสารและพนักงานทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยอยู่แล้ว แต่เมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ทำเนียบขาวคัดค้านร่างกฎหมายที่บังคับให้ผู้โดยสารเครื่องบิน รถไฟ และระบบขนส่งสาธารณะ และพนักงานทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัย

แต่ความเห็นต่างในเรื่องสวมหรือไม่สวมหน้ากากอนามัยในสหรัฐก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความคิดที่ไม่ได้เป็นไปในทางเดียวกันในการรับมือกับการระบาดของโรค ยังมีปัญหาอื่น ที่ทำให้สหรัฐไม่มีความคืบหน้าในการบรรเทาวิกฤติด้านสาธารณสุขครั้งนี้ โดยเฉพาะการตรวจหาเชื่้อ

“แอนดรูว์ คูโอโม”ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กของสหรัฐ บอกว่า รัฐบาลกลางสหรัฐไม่ได้ปฏิบัติตามหน้าที่ในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 เนื่องจากมีชาวอเมริกันเพียงหนึ่งในสามที่ได้รับการตรวจโรคในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดอย่างหนักภายในประเทศ

“รัฐบาลกลางสหรัฐทำผิดพลาดครั้งใหญ่เมื่อโรคโควิด-19 เริ่มระบาด พวกเขาไม่พร้อม พวกเขาไม่ได้เตรียมตัว และไม่พยายามเตรียมความพร้อมเสียด้วยซ้ำ รัฐบาลกลางละทิ้งความรับผิดชอบของตนเอง สหรัฐดำเนินการตรวจโรคให้ชาวอเมริกันแล้ว 124 ล้านคน แต่เรามีประชากร 328 ล้านคน นั่นเท่ากับว่ามีผู้คนได้รับการตรวจโรคเพียงราวหนึ่งในสาม พวกคุณตรวจโรคได้แค่หนึ่งในสามในระยะเวลา 7 เดือน หากมีชาวอเมริกันเพียงหนึ่งในสามถูกตรวจโรคในเวลา 7 เดือน แล้วคุณจะใช้เวลานานเท่าใดจึงจะฉีดวัคซีนให้ประชาชนครบ 100% คุณจะทำได้อย่างไร?”ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ตั้งคำถาม

เมื่อวันอาทิตย์ (18ต.ค.)ที่ผ่านมา สมาคมผู้ว่าการรัฐแห่งชาติ (เอ็นจีเอ) ของสหรัฐได้จัดส่งรายการคำถามไปยังฝ่ายบริหารภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ เพื่อขอความชัดเจนเกี่ยวกับการแจกจ่ายและจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

คำถามหลักของสมาคมได้แก่ จะมีการจัดสรรเงินทุนให้รัฐท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนการแจกจ่ายวัคซีนและความพยายามอื่นๆ เกี่ยวกับวัคซีนหรือไม่? วัคซีนจะถูกจัดสรรให้กับรัฐท้องถิ่นอย่างไร? รัฐบาลกลางใช้หลักเกณฑ์ใดในการจัดสรร? รัฐท้องถิ่นจะได้รับคำชี้แจงว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรายใดจะทำข้อตกลงโดยตรงกับรัฐบาลกลางเมื่อใด?

เมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ ประกาศว่า สหรัฐจะผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในปริมาณที่เพียงพอสำหรับชาวอเมริกันทุกคนภายในเดือนเม.ย.ปี2564 โดยขณะนี้ มีการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 ครั้งใหญ่อย่างน้อย 4 รายการในสหรัฐ

นี่อาจเป็นสิ่งที่่ช่วยอธิบายว่าเพราะอะไร สหรัฐจึงล้มเหลวในการบรรเทาวิกฤติโรคโควิด-19 ดังที่อาจารย์อาลี ม็อคดาด ผู้เชี่ยวชาญด้านสถิติสุขภาพที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐวอชิงตันของสหรัฐ ให้คำอธิบายไว้ก่อนหน้านี้ว่า มีเหตุผลสำคัญ 5 อย่างที่อธิบายได้ว่าทำไมการระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐจึงควบคุมไม่ได้ และกำลังจะเป็นปัญหาใหญ่ในเขตพื้นที่ตอนกลางของประเทศ ซึ่งไม่มีระบบโรงพยาบาลและการบริการสุขภาพที่ดีพอ

เหตุผลทั้งห้าที่ว่ามีตั้งแต่ความคิดอย่างผิด ๆ ว่าตัวเองปลอดภัย ความล้มเหลวในการทำเรื่องที่จำเป็นต้องทำ การไม่ใช้ประโยชน์จากช่วงล็อคดาวน์เพื่อเตรียมตัวให้พร้อม พฤติกรรมของคนหนุ่มสาวโดยเฉพาะในกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย และความล้มเหลวของผู้นำ

ในส่วนของความรู้สึกอย่างผิดๆ ว่าตัวเองปลอดภัยนั้น อาจารย์ม็อคดาด บอกว่า เนื่องจากโควิด-19 เริ่มระบาดในเขตเมืองใหญ่ ผู้คนในเขตชนบทจึงคิดว่าตัวเองนั้นปลอดภัยและจะไม่เกิดขึ้นในชุมชนของตน ซึ่งก็ทำให้ขาดการระวังตัวทั้งในเรื่องการใช้หน้ากากและการเว้นระยะห่าง

ส่วนความล้มเหลวในการทำสิ่งที่จำเป็นขั้นพื้นฐาน ทั้งในระดับบุคคลและในส่วนของระบบสาธารณสุข ล้วนมีส่วนสำคัญ เพราะตั้งแต่เริ่มแรก ผู้เชี่ยวชาญได้ย้ำว่าขณะที่ยังไม่มีวัคซีน วิธีเดียวที่จะควบคุมการกระบาดของไวรัสนี้ได้คือมาตรการพื้นฐานด้านสาธารณสุข ซึ่งก็รวมถึงการสุ่มตรวจหาเชื้อในวงกว้าง การติดตามบุคคลที่เคยสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อและการกักตัว

แต่ในความเป็นจริง ในสหรัฐมีเพียง 8 รัฐจาก 50 รัฐเท่านั้นที่สามารถสุ่มตรวจหาเชื้อเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการระบาดในรัฐของตน และถึงแม้รัฐสภาสหรัฐจะจัดสรรเงินถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับโควิด-19 แล้วก็ตาม แต่งบประมาณเรื่องการสืบสวนโรคยังไม่เพียงพอ

ที่สำคัญที่สุดคือการขาดยุทธศาสตร์ระดับชาติที่ชัดเจนและแน่นอน เพื่อรับมือกับโรคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการสวมหน้ากาก ซึ่งควรต้องบังคับใช้ในระดับประเทศ ซึ่งจะช่วยให้มีผู้เสียชีวิตน้อยลงได้