ครม.ไฟเขียว 'แผนพีดีพี' ฉบับใหม่ เคาะค่าไฟสูงสุด 3.72 บาท/หน่วย

ครม.ไฟเขียว 'แผนพีดีพี' ฉบับใหม่ เคาะค่าไฟสูงสุด 3.72 บาท/หน่วย

ครม.ไฟเขียวแผนพีดีพีฉบับใหม่ คงปริมาณความต้องการไฟฟ้าสูงสุด 5.39 หมื่นเมกกะวัตต์ ปริมาณการผลิตไฟฟ้ารวมอยู่ที่ 7.7 หมื่นเมกะวัตต์ เพิ่มโรงไฟฟ้าความร้อนร่วม 2000 เมกะวัตต์ อัตราค่าไฟฟ้าเมื่อสิ้นสุดแผนในปี 2580 อยู่ที่ 3.72 บาทต่อหน่วย

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 20 ต.ค.เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ตามที่นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ได้มีการพิจารณา จำนวน 5 เรื่อง ได้แก่ 1.ร่างแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2561 – 2580 (Alternative Energy Development Plan 2018 : AEDP2018)  

 

2.ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 – 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (Power Development Plan : PDP2018 Rev.1)  3.ร่างแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2561 – 2580 (Energy Efficiency Plan : EEP2018)  4.ร่างแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2561 – 2580 (Gas Plan 2018)  และ 5.แผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิงและแผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2563 – 2567   

สำหรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 – 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 หรือ “PDP 2018 Rev.1” ที่มีการปรับปรุงล่าสุดและได้รับความเห็นชอบจาก ครม.ในวันนี้โดยสรุปรายละเอียด ได้แก่ การพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าในช่วงปี พ.ศ. 2561 – 2580 พบว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค)อยู่ในปี 2580 สูงสุด 53,997 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นพลังงานไฟฟ้า 367,458 ล้านหน่วย  ขณะที่ภาพรวมของกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 77,211 เมกะวัตต์   

ขณะที่กำลังผลิตโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ในช่วงปี พ.ศ. 2561 – 2580 แยกตามประเภทโรงไฟฟ้า (เฉพาะที่เปลี่ยนแปลง) ได้แก่ โรงไฟฟ้าความร้อนร่วม 15,096 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าถ่านหิน/ลิกไนต์ 1,200 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าใหม่/ทดแทน 6,900 เมกะวัตต์ ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนจากเดิมที่มีการกำหนดว่าจะ มีการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าความร้อนร่วม 13,156 เมกะวัตต์,โรงไฟฟ้าถ่านหิน/ลิกไนต์ 1,740 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าใหม่/ทดแทน 8,300 เมกะวัตต์ 

สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใหม่ตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) ในช่วงปี พ.ศ. 2561 – 2580 ภาพรวมคงเดิม 18,696 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าตามนโยบายส่งเสริมภาครัฐ 2,453 เมกะวัตต์ โดยมีการปรับเปลี่ยนจากเดิมที่มีการระบุว่าจะมีโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก และการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เป็นการรับซื้อไฟฟ้าตามแผนการส่งเสริมของภาครัฐ 2,453 เมกะวัตต์  

 

 

ขณะที่แผนโรงไฟฟ้าตามแผน AEDP ปรับลดลงเหลือ 16,243 เมกะวัตต์ จากเดิม18,176 เมกะวัตต์ สัดส่วนการผลิตพลังงานไฟฟ้าแยกตามประเภทเชื้อเพลิง (เฉพาะที่เปลี่ยนแปลงไป)เชื้อเพลิงถ่านหินและลิกไนต์ 11% พลังงานหมุนเวียน 21%  ส่วนการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ (CO2) ในปี พ.ศ. 2580  0.271 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง 99,712 พันตัน  ขณะที่ประมาณการค่าไฟฟ้าขายปลีกปี พ.ศ. 2580 อยู่ที่ 3.72 บาทต่อหน่วย จากแผนเดิมที่อยู่ในราคาค่าไฟฟ้า 3.61 บาทต่อหน่วย 

 

ทั้งนี้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ให้ความเห็นว่าการปรับแผนการจัดหาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่มีการปรับเปลี่ยนจากเดิมจะไม่กระทบต่อความมั่นคง การปรับแผนการจ่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนโดยให้รับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากจำนวน 1,933 เมกะวัตต์ ในช่วงปี 2563 - 2567 จะมีผลกระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้าโดยรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  

ดังนั้นการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนควรพิจารณาด้านปริมาณ ราคา และระยะเวลาที่เหมาะสม ควรมีการพิจารณาทบทวนปรับปรุงแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศให้เท่าทันและสอดคล้องกับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีการปรับเปลี่ยนไป รวมทั้งการปฏิบัติตามมาตรการทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นขึ้นของประเทศคู่ค้าด้วย 

สำหรับประเด็นของโรงไฟฟ้าชุมชนที่มีการหารือที่ประชุมฯเห็นชอบให้ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ในปริมาณ 700 เมกะวัตต์ ครม.ให้กระทรวงพลังงานทำการประเมินผลการดำเนินงานในเรื่องของผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจฐากราก และความยั่งยืนของโครงการฯด้วยโดยจะดำเนินการในระยะแรกปี 2563 – 2564 ปริมาณ 700 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น โครงการ Quick Win ที่มีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบภายในปี 2563 จำนวน 100 เมกะวัตต์ ส่วนที่เหลือมีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 2564 จำนวน 600 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานจะประเมินผลการดำเนินงานโครงการระยะแรกในเรื่องผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจฐานรากและความยั่งยืนของโครงการฯ ก่อนแล้วจึงจะเปิดรับซื้อไฟฟ้าส่วนที่เหลือจำนวน 1,233 เมกะวัตต์ ในปี 2564 - 2567 เพื่อให้บรรลุผลตามเป้าหมายของโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก