รู้จัก 'เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ' จากเด็กนักเดินทาง สู่ผู้ว่าแบงก์ชาติคนที่ 21

รู้จัก 'เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ' จากเด็กนักเดินทาง สู่ผู้ว่าแบงก์ชาติคนที่ 21

พระสยาม MAGAZINE เปิดประวัติ "เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ" ผู้ว่าการธปท. คนที่ 21 รวมถึงเปิดเส้นทางชีวิตและแนวคิดการทำงาน รวมถึงมุมมองต่อวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น    

          ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท. หรือแบงก์ชาติ) มีการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ โดยหัวเรือใหญ่อย่าง ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธปท. คนที่ 20 ได้ครบวาระหลังจากทำงานมาเป็นเวลา 5 ปี และส่งไม้ต่อให้กับ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท. คนที่ 21 เป็นผู้สานต่องานของแบงก์ชาติ

          BOT พระสยาม MAGAZINE ฉบับนี้ จะขอพาทุกท่านมารู้จัก ดร.เศรษฐพุฒิ กันให้มากขึ้น ทั้งเส้นทางชีวิตและแนวคิดการทำงาน รวมถึงมุมมองต่อวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น          

เด็กชาย...นักเดินทาง

           ดร.เศรษฐพุฒิเริ่มต้นเล่าถึงชีวิตในวัยเด็กว่าเป็นชีวิตที่ต้องเดินทางอยู่บ่อยครั้ง เพราะคุณพ่อทำงานที่กระทรวงต่างประเทศ ทำให้ต้องปรับตัวกับสถานที่และสังคมใหม่ ๆ อยู่เสมอ

           "เมื่อผมอายุ 2 เดือนกว่าคุณพ่อคุณแม่ก็พาย้ายไปอยู่ที่ออสเตรเลียแล้ว หลังจากนั้นก็ต้องเดินทางย้ายไปอยู่อีกหลายประเทศ มีทั้งอินเดีย โปแลนด์ ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และอังกฤษ ซึ่งในบรรดาประเทศต่าง ๆ ที่เคยมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอยู่ ประเทศที่ชอบมากที่สุดคือ ฝรั่งเศส อาจเพราะเป็นช่วงชีวิตที่กำลังอยู่ในช่วงมัธยมปลายด้วย ทำให้ผมมีความทรงจำที่สนุกมาก ประกอบกับวิวทิวทัศน์ที่สวยและวัฒนธรรมที่มีเสน่ห์ และจากการที่ต้องย้ายไปหลายประเทศในวัยเด็ก ทำให้ผมต้องหาเพื่อนใหม่ตลอดเวลา และต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"  

จุดเริ่มต้น ความสนใจด้านเศรษฐศาสตร์

          การตัดสินใจเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์อย่างแน่วแน่ตั้งแต่ปริญญาตรีจนจบปริญญาเอก จึงเกิดเป็นคำถามว่า เพราะอะไรที่ทำให้ผู้ว่าการแบงก์ชาติท่านใหม่สนใจในสาขาวิชานี้

          "ผมเองก็ไม่แน่ใจนักว่าจุดเริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เพราะตอนเด็ก ๆ ผมไม่ใช่เด็กเรียนและดูจะสนใจกีฬามากกว่าด้วยซ้ำ วิชาที่ชอบในตอนนั้นจะเป็นแนววิทยาศาสตร์ ชีววิทยา และคณิตศาสตร์ จนกระทั่งตอนที่ย้ายไปเรียนที่ฝรั่งเศส ในวิชาประวัติศาสตร์ยุโรป ยอมรับเลยว่าอาจารย์สอนเก่งมาก เขาไม่ได้สอนให้เราท่องจำแต่เป็นการวิเคราะห์ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมเริ่มสนใจวิชาที่เป็นแนวสังคมศาสตร์ ประกอบกับความชอบคณิตศาสตร์เป็นพื้นฐาน จึงทำให้ตัดสินใจเรียนเศรษฐศาสตร์ในที่สุด"  

160300001266 ประสบการณ์ทำงาน...ที่หล่อหลอมความเป็น ดร.เศรษฐพุฒิ

           จากประสบการณ์การทำงานในองค์กรชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ หล่อหลอมให้ ดร.เศรษฐพุฒิมีมุมมองและสไตล์การทำงานที่เปิดกว้าง มุ่งผลลัพธ์ของการทำงานที่ถูกต้องและทันการณ์

           "ผมเริ่มต้นการทำงานที่ McKinsey ที่ New York ซึ่งช่วยหล่อหลอมทัศนคติและวิธีการทำงานให้ผมจนกระทั่งทุกวันนี้ เรื่องแรกคือ วัฒนธรรมการ debate คือ หากต้องการจะระดมความคิดกัน ไม่สำคัญว่าจะอยู่ในตำแหน่งอะไร เป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ หน้าที่ของเราคือการถกเถียงกันเพื่อปิดช่องว่าง และให้แน่ใจว่าเราได้ผลงานที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ให้กับลูกค้า

    เรื่องที่สอง คือ โครงสร้างองค์กรที่มีความยืดหยุ่นสูง ทำให้สามารถเลือกใช้คนจากทุกทีมได้โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและประโยชน์กับงานมากที่สุด ไม่ต้องยึดติดกับโครงสร้างหรือสายงาน ภาษาที่ McKinsey ใช้คือ "one firm concept" คือ รูปแบบการทำงานที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทำให้เราไม่หลงทาง มีแนวทางที่ชัดเจน และไม่ว่าจะทำงานที่สหรัฐฯ ญี่ปุ่น หรือสาขาใด เราก็สามารถต่องานกันได้เหมือนพูดเข้าใจในภาษาเดียวกัน"

 ความท้าทาย...ของการทำงานที่แบงก์ชาติ

           นอกจากประสบการณ์ทำงานที่ McKinsey แล้ว การทำงานที่ธนาคารโลกยังเป็นประสบการณ์ที่ดีมากของ ดร.เศรษฐพุฒิ โดยเฉพาะสำหรับการต่อยอดงานที่แบงก์ชาติ เพราะทั้งสององค์กรมีอะไรคล้าย ๆ กัน ประกอบกับประสบการณ์ที่เคยเป็นหนึ่งในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ขณะเดียวกันก็เคยดำรงตำแหน่งกรรมการในคณะกรรมการ ธปท. ด้วย ทำให้ผู้ว่าการท่านใหม่เข้าใจถึงความท้าทายในการทำงานของคนแบงก์ชาติได้เป็นอย่างดี

           "ลักษณะโดดเด่นที่เหมือนกันของคนแบงก์ชาติและธนาคารโลก คือมีความเป็น technocrat หมายถึง ละเอียด เชี่ยวชาญ ลงลึกรู้จริง แต่เพราะเรามีเวลาและข้อมูลที่จำกัด โดยเฉพาะในยามที่เราต้องเร่งเยียวยาแก้ไข จึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะทำทุกอย่างให้สมบูรณ์เต็ม 100% ได้ทั้งหมด ยกตัวอย่างสมัยผมทำงานที่ธนาคารโลก รายงานบางอย่างก็รู้สึกเหมือนเป็นข้อมูลเชิงลึกที่ทำเพื่อเก็บไว้มากกว่าที่จะเป็นประโยชน์ในวงกว้าง จึงเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย

           "ดังนั้น การทำสิ่งที่ถูกต้องและให้ถูกเวลาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ผมเรียกว่า getting the right things right หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพคนแบงก์ชาติไม่ใช่นักวิจัยที่อยู่ในห้องแล็บ แต่ผมมองว่าเราคือหมอที่มีคนไข้ที่รอการรักษาและเราจะต้องทำอะไรบางอย่าง เราเป็นหน่วยงานที่ต้องผลิตนโยบายที่ work และใช้ได้จริงแต่ไม่ได้ผลิต work of art"

จากประสบการณ์การแก้วิกฤติปี 40 สู่มุมมองต่อวิกฤติโควิด 19

          ดร.เศรษฐพุฒิ ในฐานะที่เคยทำงานอยู่กระทรวงการคลังและเป็นหนึ่งในทีมงานแก้วิกฤติปี 2540 กับครั้งนี้ที่ได้เข้ามารับตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. ที่ต้องดูแลด้านเศรษฐกิจอีกครั้งในช่วงวิกฤติโควิด 19 ท่านได้ให้มุมมองต่อสองเหตุการณ์นี้ไว้อย่างน่าสนใจ

          "วิกฤติปี 40 อาจจะเป็นเรื่องที่กระทบกับความรู้สึกของคนแบงก์ชาติมากกว่า เพราะเกิดกับสิ่งที่อยู่ในความดูแล เช่น สถาบันการเงิน ทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งครั้งนั้นยังพอมีตำรา มีเครื่องมือที่ช่วยแก้ไข แต่ครั้งนี้เกิดจากปัจจัยภายนอกที่ลุกลามและส่งผลกระทบเชื่อมโยงถึงกันหมดทั้งโลก

     ในครั้งนี้จึงหนักกว่าปี 40 ซึ่งแก้ได้ยากกว่า เพราะผลกระทบกระจายเป็นวงกว้างและลงลึกไปถึงผู้ประกอบการและประชาชนจำนวนมาก อีกทั้งความคาดหวังจากภายนอกต่อแบงก์ชาติสูงขึ้นและบางอย่างก็อยู่นอกเหนือความสามารถของเราเองด้วยซ้ำ ครั้งนี้จึงเป็นปัญหาที่ไม่มีทางแก้ใดทางแก้หนึ่งเป็นสูตรสำเร็จ ต้องอาศัยความเข้าใจและความร่วมมือจากหลายฝ่าย ซึ่งเราต้องสื่อสารให้เข้าใจว่าความท้าทายนี้หนัก ยาก ยาวนาน แต่แก้ได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลา 

          "บทเรียนที่ผมได้เรียนรู้จากปี 40 คือ การแก้ปัญหาจากภาครัฐ เราจะทำมากเกินไปไม่ได้ เพราะภาครัฐมีความสามารถในการจัดการที่จำกัดและลดลงด้วยในปัจจุบัน รวมถึงนโยบายที่มีต้นทุน และผลข้างเคียง หากสาดกระสุนไปโดยขาดความแม่นยำอาจกลายเป็นผลลบ เพราะเมื่อถึงคราวจำเป็นแล้วอาจไม่เหลือกระสุนให้ใช้ ซึ่งหากสังคมขาดความเชื่อมั่น ก็จะทำให้องค์กรที่มีหน้าที่กำกับดูแลและออกนโยบายทำงานยากขึ้นหลายเท่าเช่นกัน"

ฝากทิ้งท้าย...ถึงชาวแบงก์ชาติ

          ก่อนจบการสัมภาษณ์ ดร.เศรษฐพุฒิ ได้เผยถึงเคล็ดลับในการทำงานที่ใช้เป็นประจำให้กับคนแบงก์ชาติ 2 เรื่องด้วยกัน  

           1.  Step Back and Work Backwards

           เวลาจะทำอะไร ผมจะถอยหลังกลับมามองก่อนทุกครั้งว่า สิ่งที่อยากได้จากงานที่กำลังทำคืออะไร (intended outcome) โดยอาจลองหมุนตัวเองไปมองจากมุมของคนนอก ทั้งมุมมองของเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า ลูกค้า สังคม หรือใครก็ตามที่เกี่ยวข้อง ว่าอะไรคือสิ่งที่เราทำแล้วเขาจะเรียกว่า สำเร็จ และอะไรคือสิ่งที่ถ้าเราไม่ทำจะเรียกว่า ล้มเหลว มันจะช่วยให้เราพอเห็นภาพว่าสิ่งที่เขาคาดหวังคืออะไร แล้วเราได้จัดสรรทรัพยากรของเราตามลำดับความสำคัญนั้นหรือไม่ ซึ่งในความเป็นจริงเรามักเสียเวลาไปกับอะไรที่ไม่ได้สะท้อนความสำเร็จขององค์กร

           นอกจากนี้ ควรเริ่มจากผลลัพธ์เป้าหมาย แล้วค่อยถอยกลับมาถามตัวเองว่า ถ้าอยากได้แบบนี้เราต้องทำอะไรบ้าง ถ้าเราปรับฟอนต์ ปรับสี PowerPoint จะกระทบกับการตัดสินใจของลูกค้าหรือผู้บริหารของเราไหม ซึ่งหากเรากระโจนเข้าไปทำโดยไม่พิจารณาให้รอบคอบ สุดท้ายอาจทำให้สับสนว่าอะไรเป็นสิ่งที่จำเป็นหรือไม่จำเป็นต้องทำ (Need to have หรือ Nice to have)

            2.  Teamworks

           "มีคำพูดหนึ่งของ Garry D. Brewer ที่ผมยังจำได้จนวันนี้ 'The world has problems, but universities have departments' ที่สะท้อนสถานการณ์ปัจจุบันว่า โลกมีปัญหาแต่หากเรายังแก้ปัญหาไปตามหน้าที่ ยึดติดกับฝ่าย กับแผนก คงไม่ใช่วิธีที่จะทำให้เราเจอทางออกได้ ผมไม่อยากให้มองปัญหาแบบแยกส่วน ไม่อยากให้วัฒนธรรมนี้เกิดขึ้นในการทำงาน เราต้องมองให้เห็นภาพกว้าง รู้รอบ ทำงานแบบเข้าใจกันและกัน โดยเปลี่ยนจาก 'กำหนดวิธีการ' ไปเน้นที่ 'กำหนดเป้าหมายร่วมกัน' แล้วเดินไปในทิศทางเดียวกัน

           "จากที่เคยผมเคยสัมผัสและร่วมงานกับแบงก์ชาติมา ผมชื่นชมเสมอว่าคนที่นี่เก่งและมีพลังมาก เป้าหมายที่อยากจะชวนชาวแบงก์ชาติมาร่วมกันคิด ร่วมกันทำต่อจากนี้ คงเป็นเรื่องที่ทำยังไงจะรักษาข้อดีของที่นี่เอาไว้ คือ ความรู้ลึกรู้จริง ความเป็นคนเก่งที่มีพลัง โดยที่ยังมีความยืดหยุ่นในการทำงานได้ และมุ่งสู่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อประเทศ ผมเข้าใจว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็เชื่อว่าทุกคนช่วยกันทำให้เกิดขึ้นได้ และเราน่าจะอยากเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นร่วมกัน"

 

3 ข้อที่จะทำให้คุณรู้จัก ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ มากขึ้น

  1. จบการศึกษาด้านปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์ (เกียรตินิยมสูงสุด) จาก Swarthmore College สหรัฐอเมริกา และปริญญาโท ปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ จาก Yale University สหรัฐอเมริกา
  2. สามารถพูดได้ 3 ภาษา คือ ไทย อังกฤษ และฝรั่งเศส
  3. กิจกรรมยามว่างที่ชื่นชอบ คือ การอ่านหนังสือ การวาดภาพ และเล่นกีฬา กีฬาโปรดคือ เทนนิส เพราะสามารถช่วยให้ผ่อนคลายจากความเครียดได้ดีที่สุด เนื่องจากต้องใช้สมาธิโฟกัสอยู่กับการตี โดยปกติมักหาเวลาว่างตีเทนนิสสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง และนักกีฬาในดวงใจคือ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์