รู้จัก 'กุนซือ' ของ 'โดนัลด์ ทรัมป์'

รู้จัก 'กุนซือ' ของ 'โดนัลด์ ทรัมป์'

ทำความรู้จัก "กุนซือ" ผู้อยู่เบื้องหลังนโยบายด้านต่างๆ ของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีสหรัฐ ตั้งแต่คนแรกของทรัมป์ จนถึงผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดในทีมทรัมป์สำหรับการจัดเต็มสงครามการค้ากับจีน แต่ละคนมีแนวคิดอย่างไรบ้าง?

หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับการเปิดเผยว่าหายจากโควิดแล้ว น่าจะเป็นจุดที่ทางโดนัลด์ ทรัมป์ จะพยายามสร้างความได้เปรียบทางการเมืองมากขึ้นผ่านการหาเสียงบนเวทีตามทางที่ถนัด บทความนี้จะพาท่านมารู้จักผู้อยู่เบื้องหลังนโยบายด้านต่างๆ ของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่ามีใครและมีแนวคิดอย่างไรกันบ้าง ดังนี้

เริ่มจาก รอย คอห์น เขาคือกุนซือคนแรกในชีวิตของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยคอห์นเป็นอัยการให้กับนักการเมืองระดับบิ๊กๆ มาตั้งแต่ยุคปี 2493 ในนิวยอร์ก คอห์นได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความคิดที่เป็นขบถต่อหลักการทางกฎหมายหรือระบบของบ้านเมือง โดยเขาไม่เคยได้เสียภาษีให้กับรัฐบาล เนื่องจากเห็นว่าจะถูกนำไปใช้ในระบบราชการที่เป็นแบบเช้าชามเย็นชาม รวมถึงต้องต่อสู้คดีให้กับตนเองเกือบจะตลอดชีวิตในการทำงานด้วยคดีที่ค่อนข้างท้าทาย 

หลายคนเชื่อว่าการที่ทรัมป์มักจะสามารถเลี่ยงการจ่ายภาษีอยู่จนล่าสุดเป็นข่าวดัง ก็ได้อิทธิพลมาจากแนวคิดของคอห์น ว่ากันว่าคอห์นเป็นผู้ที่ทำให้ทรัมป์ได้รู้จักกับรูเพิร์ต เมอร์ด็อค ผู้คร่ำหวอดด้านสื่อทีวีและธุรกิจสื่อสารทั่วโลก โดยคอห์นเสียชีวิตในวัยไม่ถึง 60 ปีเมื่อกว่า 30 ปีก่อน 

นอกจากนี้การที่ทรัมป์เป็นนักการเมืองแนวดุเดือดแบบที่กล้าได้กล้าเสีย ส่วนหนึ่งก็ได้อิทธิพลมาจากแนวทางของคอห์นเช่นกัน

กุนซือท่านที่สอง ได้แก่ โรเจอร์ สโตน นักกลยุทธ์การเมืองซึ่งเป็นที่ปรึกษาให้กับประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกัน ไล่มาตั้งแต่ ริชาร์ด นิกสัน โรนัลด์ เรแกน จอร์จ บุช และล่าสุด โดนัลด์ ทรัมป์ เช่นเดียวกับคอห์น สโตนก็เป็นผู้ที่มีคดีความมาตลอดเส้นทางการเมือง ล่าสุดได้แก่ประเด็นการแทรกแซงของรัสเซียต่อการเลือกตั้งสหรัฐเมื่อปี 2559 จนเมื่อต้นปีนี้ ศาลได้ตัดสินให้สโตนต้องโทษจำคุก ทว่าทรัมป์ได้ขอช่วยลดโทษให้

จากสารคดีดังใน Netflix ว่ากันว่าสโตนเป็นผู้ชักชวนทรัมป์ให้เข้ามาสมัครเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยทรัมป์เคยคิดจะลงสมัครชิงชัยในตำแหน่งผู้นำสหรัฐมาก่อนหน้านี้อย่างน้อย 2 ครั้ง ที่ค่อนข้างดังคือการตัดสินใจว่าจะลงชิงชัยแบบอิสระในปี 2543 ทว่าท้ายสุดก็ไม่ลงสมัคร อีกครั้งหนึ่งคือการลังเลที่จะสมัครลงชิงชัยตำแหน่งผู้นำสหรัฐในปี 2555 คราวนี้กะว่าจะสมัครในนามพรรครีพับลิกัน โดยทุกครั้ง สโตนก็คอยเชียร์ให้ทรัมป์ลงสมัคร โดยเขาบอกว่าเห็นบางอย่างที่บ่งบอกถึงความเป็นประธานาธิบดีในตัวทรัมป์มานานแล้ว

สโตนมองว่า การที่ทรัมป์เป็นเจ้าของและพิธีกรรายการดัง The Apprentice ในทีวีอเมริกันถึง 14 ปี ได้ทำให้ประชาชนสหรัฐเชื่อว่าทรัมป์เป็นผู้นำทั้งในรายการบันเทิงนี้ และสามารถเป็นผู้นำในโลกแห่งความจริงได้ด้วย

กุนซือท่านที่ 3 ได้แก่ จอห์น เทย์เลอร์ เจ้าของกฎที่ชื่อว่า Taylor Rule หรือกฎของเทย์เลอร์ ซึ่งต้องการให้ตั้งระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นเมื่อจีดีพีเติบโตเร็วกว่าค่าเฉลี่ย และเมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นแบบที่กำหนดขนาดเป็นสูตรคณิตศาสตร์ จะทำให้กำหนดระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้

ซึ่งการชื่นชมแบบตรงๆ ต่อการดำเนินการนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์นั้น ถือว่าไม่ใช่สไตล์ของเทย์เลอร์ที่เคยเห็นมา หลายฝ่ายจึงมองว่าอาจเป็นไปได้ว่ารัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งสัญญาณว่าจะให้เทย์เลอร์เข้ามาทำงานในเฟด เพื่อมาพิจารณาแนวทางดังกล่าวในการดำเนินนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับแนวทางของทรัมป์ทั้งในมิติของเศรษฐกิจและการเมือง

กุนซือท่านที่ 4 ได้แก่ ปีเตอร์ นาวาโร ผู้ที่มาเป็นศูนย์กลางของทรัมป์สำหรับสงครามการค้า จะว่าไปนาวาโรจัดเป็นนักวิชาการที่คอยป้อนไอเดียว่าจีนจ้องเอาเปรียบสหรัฐด้านใดบ้างให้กับทีมของทรัมป์ มากกว่าจะลงรายละเอียดในการตั้งกำแพงภาษี ผมมองว่านาวาโรออกจะมีความคิดที่เป็นกลยุทธ์ของสงครามเศรษฐกิจมากว่าเชิงเศรษฐศาสตร์ ซึ่งนายทรัมป์เอามาใช้เพื่อเอาใจฐานเสียงของตัวเองในการเลือกตั้งครั้งนี้

นอกจากนี้ยังมี สตีฟ มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐ ที่คอยสื่อสารและคุมจังหวะของ Trade war ไม่ให้เลยเถิดเกินไปในสายตานักธุรกิจและวอลล์สตรีท

มาดูฝ่ายบู๊ของทีมทรัมป์กันบ้าง ตัวหลักคือ โรเบิร์ต ไลต์ธิเซอร์ เป็นผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดในทีมทรัมป์สำหรับการจัดเต็มสงครามการค้ากับจีนในรอบนี้ เขาเป็นผู้ที่คว่ำหวอดในวงการการค้าต่างประเทศ โดยเป็นบุคลากรด้านการค้าอาวุโสมาตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ในยุคทศวรรษ 2523 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นมาแรงจากการเติบโตของอุตสาหกรรมการผลิตในตอนนั้น 

มาใน พ.ศ.นี้ ไลต์ธิเซอร์ได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าผู้แทนการค้าของสหรัฐ โดยการแต่งตั้งของประธานาธิบดีทรัมป์ เมื่อเห็นจีนเริ่มยิ่งใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีชั้นสูง ก็เลยโชว์พลังด้วยการแบนสินค้าด้านไฮเทคที่สหรัฐกังวลว่าจีนจะเด่นแซงหน้า โดยกล่าวหาว่าจีนในอดีตใช้แทคติกทางการค้าต่างๆ สืบทราบจนได้ความรู้ทางเทคโนโลยีจากบริษัทชั้นนำของสหรัฐ

แน่นอนว่า เราจะเห็นประเด็นสงครามทางเศรษฐกิจกับจีนและประเทศอื่นทั่วโลกมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคของทรัมป์สมัยที่ 2 หากเขาสามารถชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้