'ไอโฟน'สร้างกระแสเปรี้ยง   3 กลุ่มรับอานิสงค์ดันยอดขาย

 'ไอโฟน'สร้างกระแสเปรี้ยง    3 กลุ่มรับอานิสงค์ดันยอดขาย

สาวกและคอไอโฟนได้สมใจหลังวานนี้ตามเวลาประเทศไทย (14 ต.ค.) แอปเปิ้ล เปิดตัวไอโฟน 12 พร้อมเพียงกันถึง 4 รุ่น  ซึ่งไฮไลต์สำคัญคือทุกรุ่นรองรับระบบ 5 G  ที่เฝ้ารอคอยมานาน และเป็นที่คาดหมายว่าจะทำให้ตลาดสมาร์ทโฟนกลับมามีสีสันได้ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

โดยทั้ง 4 รุ่นระบุวันที่จำจำหน่ายอย่างเป็นทางการคือ รุ่น ไอโฟน12 และ ไอโฟน12 Pro จะเปิดพรีออเดอร์ในวันที่ 16 ต.ค. 2563 และวางจำหน่ายในวันที่ 23 ต.ค.   2563  ส่วนไอโฟน 12 Mini และ ไอโฟน12 Pro Max จะเปิดพรีออเดอร์ในวันที่ 6 พ.ย. 2563  และวางจำหน่ายในวันที่ 13 พ.ย. 2563

สำหรับในไทยมีการคาดการณ์คาดว่าจะเริ่มขายในไทยราวปลายเดือนพ.ย. 2563 ซึ่งถือว่าช้ากว่าปกติราว 1 เดือน เมื่อเทียบกับปี 2562 เริ่มขาย 18 ต.ค. 2562  และยังแตกต่างจากช่วงวางจำหน่ายไอโฟน 11 ที่มีการหั่นราคาไอโฟนลงจากเดิมนับตั้งแต่เปิดตัวไอโฟน 7 จนมาถึงไอโฟน ตระกูล  X

กลายเป็นรุ่นไอโฟน 12 กลับมามีราคาสูงเพิ่มขึ้น โดยราคาเริ่มต้นที่ 699 ดอลลาร์ หากเทียบกับราคาแปลงเป็นบาทไทยจะเริ่มต้นที่ 24,900- 30,900 บาท และรุ่นสูงสุดมีราคาที่ 1,449 ดอลลาร์ ราคาแปลงเป็นบาทไทยจะอยู่ที่ราคา 39,900- 50,900  บาท  

เมื่อเทียบกับราคาทองคำที่พึ่งทำสถิติสูงสุดที่ 30,000 บาทต่อบาททองคำ นั้นหมายความว่าไอโฟน 12 ก็ทำราคาแซงหน้าทองคำและทุบสถิติเช่นเดียวกัน 

อย่างไรก็ตามแม้ว่าราคาจะแรงแต่ด้วยภาครัฐได้อนุมัติโครงการกระตุ้นกำลังซื้อ ‘ช้อปดีมีคืนให้ประชาชนซื้อสินค้าและนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2563 สูงสุด 30,000 บาท  จึงทำให้กระแสไอโฟน 12 จึงมีความต้องการทันที แม้แอปเปิ้ลจะ แยกขายอุปกรณ์หัวชาร์ต และหูฟัง( EarPods) แทน

กระแสดังกล่าวส่งผลทำหหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสินค้าไอโฟนต่างคึกคักไปตามๆกัน  กลุ่มแรก ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์  มีบริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA เนื่องจากการพัฒนา 5G มีฟีดเจอร์ใหม่และอุปกรณ์ในตัวเครื่อง เช่น LiDAR ช่วยวัดระยะวัตถุเพื่อการใช้งาน AR ได้ดียิ่งขึ้น

โดย HANA เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนในกลุ่ม Sensor ที่ส่งให้กับกลุ่ม ดังกล่าว ส่งผลทำให้ราคาหุ้น HANA วานนี้ (14 ต.ค.) ปรับขึ้นสวนตลาดหุ้นปิด 51.00 บาทเพิ่มขึ้น  13.97 %  ทำราคาสูงสุดของวันที่ 54.25 บาท สถิติสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี 

กลุ่มถัดมาหนีไม่พ้นขายสินค้าไอที ที่พอมีข่าวเปิดราคาหุ้นปรับขึ้นแบบยกกลุ่มมารอรับข่าว ทั้งบริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ  COM7 ค้าปลีกสินค้าไอทีเช่น คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะคอมพิวเตอร์แบบพกพาโทรศัพท์เคลื่อนที่ แท็บเล็ตและอุปกรณ์เสริมต่างๆ  มีสาขามากถึง 787    

ด้าน COM7 ได้ลิขสิทธิ ร้าน  i-studio ในไทยมากที่สุด จึงทำให้ราคาหุ้นก่อนหน้านี้มาจาก 39.25 บาท อยู่ที่  43.75 บาท เพิ่มขึ้น 11.46 % ก่อนจะมาปิดที่  42.50 บาท    ขณะที่บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART   เป็นผู้ค้าปลีกและส่งมือถือและอุปกรณ์ มีสาขามากกว่า 200 แห่ง  ทำราคาสูงสุดที่ 17 บาท ก่อนจะมาปิดราคาย่อตัวลงอยู่ที่  16.60 บาท    และ บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ  SYNEX  ผู้ค้าส่งรายใหญ่อุปกรณ์สื่อสารและเทคโนโลยี  ราคาพุ่งไปถึง 17.50 บาท  ทำสถิติราคาสูงสุดใหม่ก่อนจะลงมาปิดย่อตัวลงที่  16.20 บาท

กลุ่มนี้ทาง บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส แนะนำลงทุนเมื่อราคาอ่อนตัว   เนื่องจากปัจจัยยอดขายในปี 2563 ทั้งCOM7 และ JMART ได้อานิสงส์ผลบวกยอดขายไตรมาส 3 ที่ดีกว่าคาดชดเชยจากการขายสินค้ากลุ่ม  Android และอุปกรณ์เสริม  และกระแสสินค้าแอปเปิ้ลแรงหนุนแนวโน้มกําไรปี 2564 โดยเชื่อว่ายังน่าจะคาดหวังอานิสงส์การเปลี่ยนเครื่อง 5G เป็นแรงหนุนหลักได้

ปิดท้ายกันที่กลุ่มสื่อสารที่เป็นกลุ่มหลังที่ได้อานิสงค์แต่เนื่องจากต้องมีการลงทุนเม็ดเงินมหาศาลเพื่อรองรับ 5G ทั้งจากใบอนุญาตและโครงข่ายทำให้ใช้เวลานานกว่ากลุ่มขายสินค้าไอที ซึ่งปัจจุบันทุกค่ายต่างพร้อมรับกับเทคโนโลยี 5G หมดแล้ว ทำให้การแข่งขันในกลุ่มนี้จะเพิ่มดีกรีร้อนแรงขึ้นตามไปด้วยในอนาคต