กว่าจะถึง 'iPhone 12' ย้อนตำนานจักรวาล 'iPhone' 13 ปี 27 รุ่น

กว่าจะถึง 'iPhone 12' ย้อนตำนานจักรวาล 'iPhone' 13 ปี 27 รุ่น

กว่าจะถึง "iPhone 12" ย้อนดูไทม์ไลน์ วัฒนธรรม 13 ปีของ "iPhone" ตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน รวม 27 รุ่น รวมถึง iPhone 12 ที่เปิดตัวล่าสุด

หลังจากที่เมื่อเช้ามืด (14 ต.ค.) ตามเวลาประเทศไทย "ทิม คุก" CEO ของ Apple นำทีมเปิดตัว iPhone รุ่นล่าสุดที่ชื่อว่า "iPhone 12" พร้อมประกาศนโยบายร่วมลดโลกร้อนด้วย ในระหว่างที่รอการเข้ามาของ iPhone 12 ในไทย กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ พาไปส่องวิวัฒนาการ iPhone ตั้งแต่รุ่นแรกว่า มีอะไรใหม่ๆ ให้เราต้องติดตามบ้าง

iPhone 2007 - 2009 (เปิดตัว iPhone 3, iPhone 3G และ iPhone 3Gs)

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เรารู้จัก iPhone ในฐานะจุดเปลี่ยนของเทคโนโลยี นับตั้งแต่ปี 2007 ที่ สตีฟ จ็อบส์ แนะนำ iPhone รุ่นแรกให้โลกรู้จักในวันที่ 9 มกราคม ปี 2007 ด้วยสมาร์ทโฟนขนาดหน้าจอ 3.5 นิ้ว ที่มาพร้อมฟังก์ชันการใช้งานสุดล้ำของผู้ใช้ในยุคนั้น 

ต่อมาในปี 2008 iPhone 3G กลับมา ถึงแม้หน้าจอไม่ได้ต่างไปจากเดิม แต่ก็เป็นรุ่นเปิดโลกอินเทอร์เน็ต และรองรับ 3G รุ่นแรก ขณะที่ iPhone 3Gs ที่ออกมาปี 2009 เป็นจุดเริ่มต้นของ S ซึ่งมาพร้อมเข็มทิศ และพลังแห่งสปีด

iPhone 2010 - 2013

  • iPhone 4 และ iPhone 4s

ยุคของหน้าจอ 3.5 นิ้วสิ้นสุดที่รุ่นของ iPhone 4 และ iPhone 4s ที่เปิดตัวในปี 2010 และ 2011 ตามลำดับ สำหรับ iPhone 4 มาพร้อมกับสิ่งที่เรียกว่า All New Design กรอบเหลี่ยม กระจกล้วน ส่วน iPhone 4s เป็นการมาครั้งแรกของระบบสั่งการด้วยเสียงอัจฉริยะ หรือ Siri 

  • iPhone 5, iPhone 5s และ iPhone 5c

แต่แล้ว iPhone ก็เริ่มศักราชหน้าจอขนาด 4.0 นิ้วกับ iPhone 5 ในปี 2012 และเป็นครั้งแรกที่ Apple ตัดสินใจเปิดตัวพอร์ต Lightning ซึ่งมาเปลี่ยนมิติของการชาร์จในยุคนั้นมาจนถึงปัจจุบัน 

ถัดมาในปี 2013 มีการเปิดตัวของ iPhone 2 รุ่น คือ iPhone 5s ที่มาพร้อมกับระบบสแกนนิ้ว Touch ID ครั้งแรก ตามมาด้วย iPhone 5c ที่แม้จะไม่มี Touch ID เหมือนกับ iPhone 5S แต่มีสีสันสดใสเป็นไฮไลท์ ที่เปิดตัวในราคาย่อมเยาที่สุดเท่าที่เคยมีมา 

iPhone 2014 (เปิดตัวใหม่คือ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus)

ในปี 2014 Apple เปิดตัวมือถืออีก 2 รุ่น ได้แก่ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus มีหน้าจอแสดงผลที่ใหญ่ขึ้นและออกแบบมาใหม่ทั้งหมด โดยมีขนาด 4.7 นิ้ว และ 5.5 นิ้วตามลำดับ และมียอดการสั่งจองทุบสถิติถล่มทลายจน Apple ต้องบันทึกสถิติไว้

iPhone 2015 (เปิดตัวใหม่คือ iPhone 6s และ iPhone 6s Plus)

อีก 2 รุ่นที่เปิดตัวในปีถัดมา มีขนาดหน้าจอเท่า iPhone 6 คือ iPhone 6s และ iPhone 6s Plus มาพร้อมกับคุณสมบัติพิเศษคือ ระบบสัมผัสแบบ 3D Touch เป็นครั้งแรก และได้เพิ่มสีพิเศษอีกหนึ่งสีคือ สีทองกุหลาบ (โรสโกลด์) จากเดิมที่มีสีเงิน สีเทาสเปซเกรย์ และสีทอง

iPhone 2016

  • iPhone SE (2016)

ต่อมาในเดือนมีนาคมปี 2016 Apple เปิดตัว iPhone SE ที่มีแรงบันดาลใจในการพัฒนาต่อยอดมาจาก iPhone 5s มีขนาดหน้าจอแสดงผลอยู่ที่ 4 นิ้ว และมีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกับ iPhone 5s เกือบทั้งหมด แต่สิ่งที่แตกต่างจาก iPhone 5s ก็คือฮาร์ดแวร์ที่นำแบบเดียวกับ iPhone 6s มาใส่ไว้ใน iPhone SE

  • iPhone 7 และ iPhone 7 Plus

อีกหนึ่งรุ่นที่ปล่อยออกมาในเดือนกันยายนปีเดียวกัน คือ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ความพิเศษของทั้ง 2 รุ่นคือ คุณสมบัติกันน้ำและฝุ่น อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่ Apple ตัดสินใจนำแจ็คหูฟังออกจาก iPhone และใช้พอร์ต Lightning ในการเชื่อมต่อหูฟังแทน

ในช่วงหลังๆ iPhone ค่อนข้างให้ความสำคัญกับกล้องเป็นพิเศษ อย่างเช่นรุ่นนี้ที่ มีการปรับปรุงกล้องถ่ายรูปด้านหน้าให้มีความละเอียดมากขึ้นจากความละเอียด 5 ล้านพิกเซลเป็น 7 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องถ่ายรูปด้านหลังมีความละเอียดเท่ากับ iPhone 6s แต่มีการเพิ่มเลนส์สำหรับการถ่ายรูปเข้าไปอีก 6 เลนส์ รูรับแสง f/1.8

แต่สำหรับ iPhone 7 Plus มีการเพิ่มกล้องถ่ายรูปคู่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มาพร้อมกับเลนส์ Telephoto ทำให้สามารถซูมแบบ Optical zoom ได้ 2 เท่า และซูมแบบ Digital zoom ได้ 10 เท่า รูรับแสง f/2.8 เรียกได้ว่า เอาใจคอถ่ายรูปสุดๆ

iPhone 2017 (เปิดตัวใหม่คือ iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X)

  • iPhone 8, 8 Plus

สำหรับ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ที่เปิดตัวในเดือนกันยายปี 2018 มีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus แต่แตกต่างที่การเพิ่มกระจกนิรภัยทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทำให้มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น และนับเป็นการเปิดศักราชใหม่กับการชาร์จแบบไร้สาย นอกจากนั้นยังมีการเพิ่มความสามารถของกล้องถ่ายรูปให้สามารถถ่ายในโหมดที่หลากหลายขึ้น

iPhone 2018

  • iPhone X

สำหรับ iPhone X ที่เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน นับเป็นรุ่น Hi-End ของ Apple เพราะมีเทคโนโลยีล้ำสมัย โดยใช้หน้าจอแสดงผลแบบ OLED ขนาด 5.8 นิ้ว มีขอบจอที่เล็กลง ตัดปุ่ม Home ด้านหน้าของเครื่องออกเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการใช้งานหน้าจอ และยังมาพร้อมกับกล้องหลังคู่ ประกอบด้วยเลนส์มุมกว้างความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8 ซึ่งประกอบด้วยชุดเลนส์ 6 ชิ้น ที่มาพร้อมกับเลนส์ telephoto รูรับแสง f/2.4 และมี Flash LED แบบทรูโทน

ส่วนกล้องหน้า “TrueDepth” มีความละเอียด 7 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 และมีเทคโนโลยีจดจำใบหน้า ซึ่งใช้ร่วมกับแอนิโมจิ (Animoji) และ Face ID การปลดล็อคด้วยใบหน้า ส่วนระบบการชาร์จจะสนับสนุนเทคโนโลยีชาร์จแบบเร็วในพอร์ต Lightning ถือได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่ครบครันด้านการถ่ายรูป เพราะมีฟีเจอร์มากมายที่คอยสนับสนุนในการถ่ายรูปอย่างมาก

iPhone 2018 (เปิดตัว 3 รุ่น iPhone Xs , iPhone Xs Max และ iPhone XR)

  • iPhone Xs และ iPhone Xs Max

iPhone 2018 ออกมา 3 รุ่น ได้แก่ iPhone Xs และ iPhone Xs Max ที่เป็นหน้าจอ OLED สองขนาด กับ iPhone XR ที่เป็นหน้าจอ LCD มีราคาถูกลงมา โดยทุกรุ่นจะมีดีไซน์แนวเดียวกับ iPhone X มีรอยบากกันหมดทุกรุ่น ถึงเวลาบอกลา iPhone ดีไซน์เดิมๆ แล้ว 

iPhone Xs และ iPhone Xs Max ดีไซน์สไตล์เดียวกับ iPhone X ใช้วัสดุทนทานเกรดเดียวกับเครื่องมือผ่าตัด พร้อมกระจกหน้าจอที่ Apple เคลมว่าแข็งแกร่งที่สุดในวงการสมาร์ทโฟน มี 3 สี Gold, Silver, Space Gray กันน้ำได้ iPhone Xs หน้าจอ OLED Super Retina 5.8 นิ้ว และ iPhone Xs Max จอใหญ่ 6.5 นิ้ว ทั้ง 2 รุ่นรองรับ 3D Touch ความพิเศษ Face ID กับกล้อง TrueDepth ที่อยู่ในรอยบาก มีระบบความปลอดภัย Secure Enclave ทำงานได้รวดเร็วกว่าเดิม

เอาใจคนชอบถ่ายภาพด้วย กล้องหลัง 2 เลนส์ เป็นเซ็นเซอร์ตัวใหม่ Wide-angel 12MP มี f/1.8 + Telephoto 12MP f/2.4 พร้อมแฟลช True Tone ส่วนกล้องหน้า RGB 7MP f/2.2 พร้อม IR camera และ Dot Projector เซ็นเซอร์เร็วกว่าเดิม รวมถึงมีตัวประมวลผลภาพจะทำงานร่วมกับ Neural Engine ช่วยให้ประมวลผลการถ่ายภาพได้ฉลาดกว่าเดิม และมีฟีเจอร์อื่นๆ อีกเยอะมาก

สำหรับความอึดของแบตนั้น iPhone Xs แบตเตอรี่อยู่ได้นานกว่า iPhone X ถึง 30 นาที ส่วน iPhone Xs Max อยู่ได้นานกว่า iPhone X ถึง 90 นาที

  • iPhone XR

อีกรุ่นคือ iPhone XR ดีไซน์สไตล์เดียวกับ iPhone X มีให้เลือกหลากหลายสีสัน มีทั้งสีขาว, ดำ, ฟ้า, ชมพู, เหลือง หน้าจอ LCD Liquid Retina ขนาด 6.1 นิ้วตาม มีหน้าจอใหญ่กว่า iPhone 8 Plus แต่ตัวเครื่องเล็กกว่าเดิม แต่ไม่มี 3D Touch รุ่นนี้มีกล้องหลังเลนส์เดียว Wide-angel 12MP เป็นเซ็นเซอร์ตัวใหม่ f/1.8 แต่ก็ยังสามารถถ่าย Portrait Mode ด้วยการปรับภาพให้ภาพหลังวัตถุเบลอ (หน้าชัด หลังเบลอ) สำหรับแบตเตอรี่อยู่ได้นานกว่า iPhone 8 Plus ถึง 90 นาที

1602671479100

iPhone 2019 (เปิดตัวพร้อมกัน 3 รุ่น iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro MAX)

  • iPhone 11

สำหรับรุ่นแรก iPhone 11 ที่ Apple เคลมว่ามี CPU เร็วที่สุดในจักรวาลสมาร์ทโฟน มาพร้อมกับขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว พร้อม 6 สีโทนพาสเทลให้สาวกสายหวานเลือกสรรตามใจชอบ และเอาใจคนชอบถ่ายภาพด้วยกล้อง 2 ตัวหลัง ตัวแรกความละเอียด 12 ล้านพิกเซล WIDE Camera ระยะ 26 mm F-stop 1.8 ตัวที่ 2 ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ULTRA WIDE Camera ระยะ 13 mm F-stop 2.4 และยังใช้แบตเตอรี่อึดกว่า iPhone XR ถึง 1 ชั่วโมง ตบท้ายด้วยคุณสมบัติกันน้ำลึก 2 เมตร นาน 30 นาที

  • iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro MAX 

iPhone 11 Pro ขนาดจอ 5.8 นิ้ว และมีขนาดหน้าจอแสดงผลเล็กกว่า iPhone 11 Pro MAX ที่มีหน้าจอ 6.5 นิ้ว โดยคุณสมบัติของ 2 รุ่นนี้คือ มีกล้อง 3 ตัว มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยตัวแรก 12 ล้านพิกเซล WIDE Camera ระยะ 26 mm F-stop 1.8 ตัวที่ 2 ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล TELEPHOTO Camera ระยะ 52 mm F-stop 2.0 และตัวที่ 3 ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ULTRA WIDE Camera ระยะ 13 mm F-stop 2.4 มาพร้อมกับสี 4 สีโทนเข้มขรึม midnight green, sliver, space gray และ gold และยังมีคุณสมบัติกันน้ำลึก 4 เมตรด้วย ทั้ง 2 รุ่นแตกต่างกันที่ iPhone 11 Pro แบตเตอรี่อึดว่า iPhone Xs 4 ชั่วโมง แต่ iPhone11 Pro Max แบตอึดกว่า iPhone Xs Max 5 ชั่วโมง

160274090839

iPhone 2020

  • iPhone SE 2020

ในปี 2020 iPhone SE กลับมาอีกครั้ง แต่ไม่มีกล้องหลัง 2 ตัวเหมือนกับรุ่น iPhone 11 โดยดีไซน์มาพร้อมหน้าจอ Retina HD ขนาด 4.7 นิ้ว ราคาเท่า iPhone 8 ยังคงใช้ Touch ID

นอกจากนี้ iPhone SE 2020 ใช้ชิปตัวเดียวกับ iPhone 11 พลังการประมวลผลสูง เหมาะกับกิจกรรมต่างๆ ทั้งดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม รวมถึง AR ด้วย รุ่นนี้มีระบบชาร์จไร้สายในตัว และกันน้ำกันฝุ่นโดยสามารถกันน้ำลึก 1 เมตรได้ถึง 30 นาที

ส่วนกล้องของรุ่นนี้ iPhone SE เป็นกล้องตัวเดียว 12 ล้านพิกเซล f/1.8 Wide ส่วนระบบวิดีโอสามารถอัดได้สูงสุด 4K 60fps พร้อมหรือ 30fps เมื่อเปิดโหมด extended dynamic range ซึ่งระบบอัดวิดีโอมีฟีเจอร์กันสั่นให้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง

  • iPhone 12 และ iPhone 12 mini (รองรับ 5G)

iPhone 12 และ iPhone 12 mini ที่มาพร้อมเทคโนโลยี 5G ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเปิดศักราชใหม่ของสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดในโลก iPhone 12 ได้รับการออกแบบใหม่ให้มาพร้อมจอภาพ Super Retina XDR และมาในดีไซน์อะลูมิเนียมที่มี 5 สีให้เลือก ได้แก่ น้ำเงิน เขียว ดำ ขาว และ (PRODUCT) RED1 และหากเอาไปเทียบกับ iPhone 11 แล้ว iPhone 12 จะบางกว่าถึง 11% เล็กกว่า 15% และเบากว่า 16%

สำหรับหน้าจอของ iPhone 12 มีขนาด 6.1 นิ้ว ใช้พาเนลแบบ Super Retina XDR ที่มีค่า Contrast 2,000,000 : 1 มีความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล และมีพิกเซลถึง 2.8 ล้าน มากกว่า iPhone 11 ถึง 2 เท่า ส่วน iPhone 12 mini มีหน้าจอขนาด 5.4 นิ้ว ความละเอียด 2340 x 1080 พิกเซล

นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับ ชิป A14 Bionic ที่ถูกนำมาใส่ในสมาร์ทโฟนซีรีส์ iPhone 12 ซึ่งเร็วและแรงขึ้น โดย Apple เคลมว่าชิปตัวนี้ให้ประสิทธิภาพ CPU และ GPU ที่แรงกว่าชิปในสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ กว่า 50% ทำให้การใช้งานทั่วไป หรือแม้แต่การเล่นเกมกราฟฟิก 3D โหดแค่ไหนก็ไม่ต้องกลัวสะดุด

สำหรับกล้องหลังในรุ่นนี้ยังเป็น 2 กล้องเหมือน iPhone 11 แต่สิ่งที่เพิ่มมาคือ กล้อง Wide 12MP + กล้อง Ultra Wide 12MP ซึ่งมากับฟีเจอร์ถ่ายภาพสภาวะแสงน้อย Night Mode ในเซ็นเซอร์ทั้ง 2 ตัว ทำให้การถ่ายภาพในที่มืดดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ และมากับ Night mode Time-lapse อีกด้วย นอกจากนี้ Apple ยังเคลมว่า สามารถถ่ายวิดีโอได้ในระดับเหนือกว่ามือถือทั่วไป

อีกสิ่งที่มาในซีรีส์ iPhone 12 ทุกรุ่นคือ ฟีเจอร์แถบแม่เหล็ก MagSafe ที่ใช้งานร่วมกับแป้นชาร์จแม่เหล็กที่ใช้แปะเข้ากับด้านหลังเครื่องเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ได้เลย และ iPhone 12 ทุกรุ่นมาพร้อมคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 ที่สามารถลงน้ำจืดได้ลึกถึง 6 เมตร เป็นเวลา 30 นาที

  • iPhone 12 และ iPhone 12 mini (รองรับ 5G)

iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ในดีไซน์แบบสแตนเลสสตีลมีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีเงิน (Silver), สีเทา (Graphite), สีทอง (Gold) และสีฟ้า (Pacific Blue) หน้าจอของ iPhone 12 Pro มีขนาด 6.1 นิ้ว และ Pro Max ขนาด 6.7 นิ้ว ใช้หน้าจอแบบ Super Retina XDR ความละเอียด 2532 x 1170 (Pro) และ 2778 x 1284 พิกเซล (Pro Max) สามารถเร่งความสว่างได้สูงสุดถึง 1200 nits และเคลือบด้วย Ceramic Shield อีกเช่นเดียวกันกับ iPhone 12 และ iPhone 12 mini

สำหรับกล้องหลังยังเป็น 3 กล้อง แต่มากับกล้องที่ประกอบด้วยกล้อง Wide 12MP (OIS) + กล้อง Ultra Wide 12MP +  กล้อง Telephoto 12MP (OIS) + เซ็นเซอร์ LiDAR ที่ทำให้การวัดระยะต่างๆ แม่นยำมากกว่าการใช้กล้องจับความลึกทั่วไป การถ่ายภาพแบบ Portrait จึงออกมาเนียน และเป็นธรรมชาติ แถมยังเอาไปใช้ร่วมกับเทคโนโลยี AR ทำให้การประมวลผลภาพ 3D เข้ากับโลกจริงสมจริงมากขึ้น นอกจากนี้มันยังช่วยให้ระบบออโต้โฟกัสจับภาพได้เร็วกว่าเดิมถึง 6 เท่า

นอกจากนี้ Apple ยังเคลมว่า ระบบกันสั่นแบบ OIS ของกล้อง Wide ในรุ่น iPhone 12 Pro Max เป็นระบบกันสั่นที่ใช้โดยตรงกับตัวเซ็นเซอร์ (Sensor Shift OIS) บวกกับระบบกันสั่นที่ตัวเลนส์ ทำให้การถ่ายทั้งภาพ และวิดีโอทั้งหลาย ออกมานิ่งและลื่นสุดๆ มากกว่าระบบกันสั่น OIS ทั่วไปที่ใช้กับเลนส์กล้อง

สังเกตได้ว่า ในช่วงหลัง iPhone หันมาเน้นการพัฒนาฟีเจอร์ด้านการถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอเป็นหลัก แม้ว่าจะไม่ได้มีนวัตกรรมที่หวือหวาออกมาให้เห็นมากเท่าแบรนด์อื่นๆ และที่ผ่านมา อาจจะมีการปรับดีไซน์เล็กน้อยเพื่อให้ใจเต้นนิดหน่อย แต่การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ทำให้ยัง iPhone ยังคงได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลกอยู่เสมอ และเป็นที่น่าจับตาว่าในปีต่อไป Apple จะใช้กลยุทธ์ หรืออะไรมามัดใจลูกค้าในอนาคต

อ้างอิง: Macthai, iPhonemod.net และ iPhonedroid.net

ซื้อ iPhone ในราคาพิเศษได้ที่นี่