ลงทุนอะไรดี ถ้ามีเงินเย็นๆ

ลงทุนอะไรดี ถ้ามีเงินเย็นๆ

ส่องช่องทางลงทุน สำหรับผู้ที่ถือเงินเย็นที่อาจจะลังเลในการลงทุน ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดีนัก แม้จะกระเตื้องขึ้นมาบ้างจากช่วงไตรมาส 1-2 พร้อมวิเคราะห์สถานการณ์ช่วง ต.ค.-พ.ย.63 ที่จะมีผลต่อการลงทุน

สภาพเศรษฐกิจการเงินการค้าในปีนี้ ทำให้คนที่พอมีเงินออมเงินลงทุนกระอักกระอ่วนใจเป็นที่สุด คนที่เคยออมแบบสบายใจในเงินฝากหรือกองทุนตราสารหนี้ ก็ชักไม่สบายใจ เพราะผลตอบแทน 0.25 ถึง 0.50% มันทำร้ายจิตใจเกินไป ส่วนคนที่ใจถึงและเคยลงทุนในตลาดหุ้น ก็มาเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอ และเกิดโควิดกระหน่ำ GDP ไทยทรุดแรงเกือบที่สุดในโลก ราคาหุ้นไทยก็ตกต่ำลงประมาณ 20% ในปีนี้ ในขณะที่เรื่องโควิดรอบโลก ก็ยังต้องลุ้นกันยาวๆ ว่าจะลดระดับการระบาดเมื่อไร จะได้วัคซีนที่ทดสอบสำเร็จจริงๆ เมื่อใด

เหลียวหน้าไปมา มีเพียงทองคำเท่านั้น ที่ในปีนี้สามารถสร้างผลกำไรเบิ้มๆ 30% แต่เนื่องจากคนส่วนใหญ่ก็ไม่ทันได้ซื้อเอาไว้ก่อนที่จะขึ้นมา ครั้นจะซื้อตอนนี้ ก็เห็นเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงเเถว 28,000 ถึง 29,000 ผมคิดว่าคนอยากซื้อก็ไม่ค่อยกล้าเหมือนกัน ส่วนใหญ่มักจะมั่นใจ โดดเข้าใส่ ตอนกำลังวิ่งขึ้นไปแบบต่อเนื่องมากกว่า

วันนี้ทางสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ขอให้ข้อคิดมุมวิเคราะห์เพิ่มเติมแก่ท่านผู้มีเงินเย็นประกอบการตัดสินใจกับเงินลงทุน ดังนี้ครับ

ต.ค.-พ.ย. 63 นี้มีเรื่องใหญ่ๆ ให้ต้องจับตาว่าจะออกทางบวกหรือลบต่อการลงทุน เช่น

• ความคืบหน้าหรือไม่คืบหน้าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ขณะที่ม็อบกำลังจะมาทวง หุ้นไทยน่าจะขยับลงบ้าง

• การระบาดของโควิดทั่วโลก ตัวเลขรายวันขยับขึ้นเป็นวันละ 3 แสนคน ในขณะที่ไทยอาจต้องเริ่มแง้มประตูรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อบรรเทาผลลบที่มีต่อภาคท่องเที่ยว การระบาดในไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป

• การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งหากไบเดนชนะ อาจมีผลกระทบตลาดหุ้นสหรัฐ จากมาตรการขึ้นภาษีนิติบุคคล โอกาสนี้ คงเป็นของทองคำที่จะขึ้นได้ ยามหุ้นโลกไม่ค่อยดี

• GDPไตรมาส 3 และ งบการเงินไตรมาส 3 ของหุ้นไทยจะประกาศในเดือนพ.ย. ซึ่งคงจะออกมาต่ำกว่าปีก่อนทั้งคู่ ไม่น่าจะเป็นข่าวดีกับหุ้นครับ

• หากหุ้นยังไม่ฟื้นตัวใน ต.ค.-พ.ย. เสียก่อน ผมคิดว่า ธ.ค.น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เป็นไปได้ ในการฟื้นขึ้นไปบ้าง เนื่องจากผ่านปัจจัยลบต.ค.-พ.ย.ไปจนพอแล้ว และมาตรการช้อปดีมีคืนของรัฐบาล ให้มีวงเงินซื้อเพื่อลดหย่อนรายได้ก่อนภาษีคนละ 30,000 บาท มีผลสิ้นสุดในเดือนธ.ค. ซึ่งรัฐคาดว่าจะมีเม็ดเงินรวมตลอด 2 เดือนประมาณกว่าแสนล้านบาท ผมคาดว่า การจับจ่ายใช้สอยของผู้คน คงต้องเร่งหนักหน่อยในเดือนธ.ค. บรรยากาศการค้าคงดูดีขึ้นบ้างเสริมบรรยากาศตลาดหุ้นได้พอสมควร

• สำหรับคนที่มีเงินเย็น ที่แม้จะไม่มีความจำเป็นรีบใช้ก็ตาม แต่ด้วยปัจจัยใหญ่ที่มีความไม่แน่นอนจำนวนมาก ผมคิดว่า ยังควรต้องยอมฝากเงินหรือออมในกองทุนพันธบัตร ได้ดอกเบี้ยน้อยๆ เป็นหลักไปก่อนประมาณ 55-60%

• ทองคำ แม้มีราคาไม่แน่นอน ขณะนี้ราคาต่ำกว่า 28,000 บาท แต่ในสถานการณ์เศรษฐกิจโลกอ่อนแอ และการมีปัจจัยเสี่ยงการเมืองในประเทศ ทองคำเป็นสิ่งรองรับความเสี่ยงทั้งมวลที่หากเกิดขึ้น ผมยังแนะนำให้มีอยู่ 15% เท่ากับที่แนะนำไว้เมื่อมิ.ย.2563

• หุ้นและหรือกองทุนหุ้น เดิมผมแนะนำให้มีหุ้นไทย 15% และกองหุ้นต่างประเทศ 10% ไว้ เมื่อ มิ.ย.2563  ขณะนี้หุ้นไทยลงมาพอสมควร หากช่วงกลางต.ค-พ.ย.นี้ SET Index ลดลงไปอยู่ที่ 1,250-1,200 จุด ก็เป็นจุดที่แนะให้น้ำหนักหุ้นไทยเพิ่มเป็น 20% เพื่อรอการฟื้นตัวช่วงปลายปีหรือปี64

• หากซื้อหุ้นรายตัว มีความเสี่ยงมากกว่าซื้อกองทุนหุ้น ดังนั้นหากไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญการลงทุน ผมแนะนำให้ใช้ลงทุนกองทุนรวม มีทั้งกองทุน SET50 หรือกองทุนที่เลือกเฟ้นหุ้นใน Theme ต่างๆ ให้เลือก มีค่าบริหารบ้าง

• หากอยากซื้อเป็นรายตัว แนะนำให้เข้าดูข้อมูลที่สมาคมนักวิเคราะห์ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดบทวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐาน ไว้ให้ดูฟรีกว่า 250 หุ้น อยู่ในเว็บไซต์ของ settrade.com ทาง Link นี้ครับ https://www.settrade.com/settrade/iaaConsensus

• หุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุน มีทั้งหุ้นธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจสื่อสาร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หุ้นธนาคาร เป็นต้น

ท้ายนี้ เชิญชวนอบรมวิชากับสมาคมฯ เรื่อง เทคนิคการร่วมงาน IR กับนักวิเคราะห์ 21 ต.ค., การวิเคราะห์งบวันที่ 31 ต.ค. หัวเรื่องละ 800 บาท โทร 02-009-9292 ต่อ 3716

พบกันอีกทีเดือน พ.ย.ครับ