16 บจ. ‘ซื้อหุ้นคืน’ วืดเป้า พิษโควิดลากยาว หันเน้นรักษาสภาพคล่อง

16 บจ. ‘ซื้อหุ้นคืน’ วืดเป้า พิษโควิดลากยาว หันเน้นรักษาสภาพคล่อง

36 บจ.ประกาศซื้อหุ้นคืนปีนี้ พบ 10บริษัท ซื้อได้ต่ำกว่าจำนวนกำหนดไว้ ขณะที่ 6 บริษัทไม่ซื้อเลย  มีเพียง 5 แห่งที่ซื้อได้ครบ  ด้านบล.ทิสโก้ ชี้  ปัจจัยกดดันซื้อหุ้นคืนผิดแผนเหตุ โควิดลากยาวต้องรักษาสภาพคล่อง -ราคาหุ้นฟื้นตัวสะท้อนปัจจัยพื้นฐาน 

 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ปรับตัวลดลงตั้งแต่ต้นปี และปรับตัวตัวลดลงรุนแรงในเดือนมี.ค. จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้น  ทำให้มี บริษัทจดทะเบียน(บจ.)ประกาศทำโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริการทางการเงิน (Treasury Stock)  เพราะมองว่าราคาหุ้นของบริษัทต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน และเพื่อเป็นการบริการสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัท 

 สำหรับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน มีบจ.จำนวน 36 แห่ง แจ้งมติคณะกรรมการบริษัท อนุมัติให้ทำโครงการซื้อหุ้นคืน แบ่งเป็น  24 บริษัท ที่สิ้นสุดโครงการซื้อหุ้นคืนแล้ว และอีก 12 บริษัทที่อยู่ระหว่างการซื้อหุ้น 

  ทั้งนี้  24 บริษัท ที่สิ้นสุดระยะเวลาซื้อหุ้นคืนนั้น พบว่า  มีเพียง 5 บริษัทเท่านั้น ที่ซื้อหุ้นคืนได้ครบตามที่กำหนด คือ WP, SPALI ,KBANK,SPALIและZIGA    ขณะที่ 10 บริษัท มีการซื้อหุ้นคืนต่ำกว่าที่กำหนดวงเงินและจำนวนหุ้นที่ให้ซื้อคืน คือ BLAND,BPP,CK,CPF,CPN,EKH,SCP,SPC,STPI,THG ส่วน อีก6 บริษัท ไม่ได้ซื้อหุ้นคืน คือ CPALL ,GUNKUL, PJW, SGP, XO ,TKN และ มี3 บริษัท ที่ประกาศยกเลิกซื้อหุ้นคืน คือ SPCG, TFD  และSCB                    

ด้านSCBให้เหตุผลยกเลิกซื้อหุ้นคืน ว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันที่เป็นช่วงวิกฤติ ที่มีความผันผวนและความไม่แน่นอนสูง และยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติเมื่อใด เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม ให้ธนาคารสามารถเข้าช่วยเหลือลูกค้าของธนาคารให้ก้าวผ่านวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่นี้ไปได้อย่างดีที่สุด รวมถึงเป็นการทำให้ธนาคารมีความพร้อมในการขยายธุรกิจเมื่อมีโอกาสที่เหมาะสม ส่วนTFG ระบุ เพื่อเตรียมกระแสเงินสดสำหรับรองรับความผันผวนจากสถานการณ์เศรษฐกิจในภาวะปัจจุบัน

        

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ทิสโก้ เปิดเผยว่า สาเหตุที่ทำให้บจ.ที่ประกาศยกเลิกซื้อหุ้นคืน ,ซื้อไม่ได้ตามจำนวนที่ตั้งไว้  และไม่ทำการซื้อหุ้นคืนเลยนั้นมีหลายปัจจัย เช่น กลุ่มแบงก์ที่ต้องยกเลิกโครงการไป เพราะธนาคารแห่งประเทศประเทศไทย(ธปท.)ให้แบงก์ต้องเก็บสภาพคล่องไว้ ,จากการแพร่ระบาดโควิด-19ยังคงมีอยู่และยังมีหลายปัจจัยที่ยังมีความไม่แน่นอนทำให้ต้องเก็บเงินสดไว้สำรองไว้สำหรับการดำเนินธุรกิจในอนาคต และจากราคาหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมา สอดรับกับปัจจัยพื้นฐานแล้ว

สำหรับจากนี้ส่วนตัวมองว่ามีโอกาสน้อยที่บจ.จะมีการประกาศโครงการซื้อหุ้นคืน เพราะช่วงที่มีการประกาศซื้อหุ้นคืนนั้นจะเป็นตอนที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงแรงและมีความผันผวนสูง ซึ่งส่วนตัวมองว่าปีหน้าตลาดหุ้นจะไม่ผันผวนแรงเหมือนกับปีนี้ ประกอบกับฐานะการเงินของบจ.ยังคงไม่ดี เนื่องจากโควิด-19คงส่งผลกระทบต่อกำไรของบจ.แม้กำไรในไตรมาส3ปีนี้คาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นจากไตรมาส2 ที่ผ่านมา แต่ยังคงลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และกำไรในไตรมาส4 ปี2563 ยังคงปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส3ปี 2563คาดว่าจะยังคงต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนเช่นกัน ซึ่งส่วนตัวมองว่ากำไรบจ.จะปรับตัวดีขึ้นเทียบปีต่อปี จะเป็นไตรมาส1ปีหน้า จึงอาจส่งผลให้สภาพคล่องทางการเงินของบจ.ตรึงตัวซึ่งต้องดูเป็นรายบริษัท

นายเทิดศักดิ์ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเซีย พลัสจำกัด กล่าวว่า  การที่บจ.ประกาศซื้อหุ้นคืนนั้นต้องมองที่เจตนา  คือ ผู้บริหารมองว่าราคาหุ้นของบริษัทนั้นต่ำเกินไป และมีสภาพคล่องส่วนเกินที่สูง จึงซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารสภาพคล่อง แต่บางรายนั้นอาจประกาศเป็นเชิงกลยุทธ์ในการส่งสัญญาณอย่างเดียว ว่าราคาหุ้นของบริษัทนั้น ต่ำเกินไป และบริษัทมีสภาพคล่องสูง แต่ไม่ได้ต้องการซื้อหุ้นคืนอย่างเต็มที่ 

ทั้งนี้จากการที่บจ.ส่วนใหญ่ซื้อหุ้นคืนไม่ได้ตามจำนวนและวงเงินที่ตั้งไว้นั้น หรือบางรายไม่ซื้อหุ้นคืนเลย ส่วนหนึ่งเกิดจากโควิด-19ระบาดทำให้หลายบริษัทต้องเก็บเงินสดไว้เพื่อสำรองในการดำเนินธุรกิจในอนาคต เพราะยังมีความไม่แน่นอนสูงว่าสถานการณ์จะดีขึ้นเมื่อไร เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้จริงตามคาดหรือไม่  และเมื่อซื้อหุ้นคืนแล้วบริษัทจะต้องถือไว้อย่างน้อย6 เดือนแต่ไม่เกิน 3 ปี  ซึ่งเมื่อบริษัทยังไม่ขายหุ้นซื้อคืนออกไป หรือ ลดทุนจดทะเบียน นั้น บริษัทจะไม่สามารถเพิ่มทุนได้  ทำให้บางบริษัทที่จำเป็นต้องระดมทุนด้วยการเพิ่มทุน เพราะ มีโครงการใหม่ หรือ มีความจำเป็นต้องใช้เงิน อาจตัดสินใจไม่ซื้อหุ้นคืนเลย 

อย่างไรก็ตามส่วนตัวมองว่าสภาพคล่องของบริษัทจดทะเบียนในปัจจุบันยังไม่น่ากังวล เพราะ ประเมินจากอัตราหนี้สินต่อทุนเฉลี่ย (D/E)ของบจ.นั้นไม่สูงมาก และเงินฝากในระบบสถาบันการเงินนั้นยังอยู่ระดับสูง ส่วนแนวโน้มจะมีบจ.ประกาศซื้อหุ้นคืนหรือไม่ขึ้นอยู่กับภาวะตลาด และสภาพคล่องของแต่ละบริษัท