"Bank" Sector (8 ต.ค.63)

"Bank" Sector (8 ต.ค.63)

ประมาณการ 3Q63F: ผลประกอบการจะร่วงหนักขึ้นอีก

ประเด็นสำคัญ

กำไรสุทธิใน 3Q63F ของกลุ่มจะอ่อนแอลงอีก โดย -10%QoQ -45% YoY และ -31% ในงวด 9M63F เราคาดว่าผลประกอบการใน 3Q63F จะอ่อนแอลง เนื่องจากกำไรจากการลงทุนลดลงหลังจากที่หลายธนาคารบันทึกกำไรจากการลงทุน และการปรับมูลค่าเหมาะสมก้อนใหญ่ใน 2Q63 ตามดัชนี SET ที่ดีด
ตัวขึ้นใน 2Q63 แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดพันธบัตรที่ทรงตัว และการที่ดัชนี SET เกิด correction น่าจะกดดันให้ธนาคารต่าง ๆ (โดยเฉพาะ BBL และ KBANK) ต้องบันทึกผลขาดทุนจากการลงทุนตามราคาตลาด (mark-to-market) ใน 3Q63 นอกจากนี้ เรายังใช้สมมติฐานว่า NIM จะค่อนข้างนิ่ง ในขณะที่ non-NII จะฟื้นตัวได้เล็กน้อย และการตั้งสำรองจะลดลง QoQ สำหรับกรณีของ BBL KBANK และ KTB แต่ในกรณีของ SCB TMB TISCO และ KKP เราคาดว่าการตั้งสำรองจะค่อนข้างทรงตัว ทั้งนี้ เราคาดว่ากำไรสุทธิใน 3Q63 ของ KBANK จะลดลงถึง -80% YoY ของ BBL จะลดลง -63% YoY ของ KTB จะลดลง -50% YoY ในขณะที่คาดว่าของ SCB และ TISCO จะลดลงในอัตราที่น้อยกว่า

ธนาคารต่าง ๆ พยายามยืดหนี้ที่มีปัญหาออกไป

ธนาคารส่วนใหญ่ยังคงพยายามจะจัดการ NPL ที่เกิดจากหนี้มีปัญหาที่อยู่ภายใต้โครงการผ่อนผันหนี้ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 7.2 พันล้านบาท หรือประมาณ 32% ของยอดสินเชื่อรวม โดยในจำนวนนี้เป็นสัดส่วนของสินเชื่อผู้บริโภครายย่อยสูงที่สุดถึง 56% รองลงมาคือสินเชื่อ SME ที่ 31% เราไม่ค่อยเป็นห่วงสินเชื่อรายย่อยมากนัก เพราะกลุ่มนี้ธนาคารมีมาตรการช่วยเหลือหลายด้าน และยังมีหลักประกันซึ่งค่อนข้างซื้อง่ายขายคล่องอีก แต่ที่เราเป็นห่วงมากกว่าคือสินเชื่อ SME เพราะมีลูกหนี้ SME ถึงประมาณ 50% ที่ยื่นขอเข้าโครงการผ่อนผันหนี้ โดยมีหลายธุรกิจที่ต้องปรับตัวเพราะถูก disrupt จากพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปจากสถานการณ์ covid-19 และไม่สามารถฟื้นฟูธุรกิจได้อีกหลังจากที่ covid-19 ผ่านไปแล้ว ทั้งนี้ ในการบริหารความเสี่ยงด้าน NPL ธนาคารหลายแห่งเลือกที่จะปรับโครงสร้างหนี้มีปัญหา ซึ่งจะเป็นการทำให้ปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ยืดเยื้อออกไป และกดดันผลประกอบการนานขึ้นไปอีก

เลือก TISCO เป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม

จากงบดุล QTD เราพบว่ามีแค่ SCB เท่านั้นที่ยังเร่งขยายสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ ทั้งในส่วนของสินเชื่อการปล่อยกู้ในตลาดเงิน และการลงทุนในตราสารหนี้ ในขณะที่สถานะการลงทุนในตลาดหุ้นยังต่ำ ดังนั้น เราจึงคาดว่าทั้งผลประกอบการและคุณภาพของสินทรัพย์ SCB น่าจะดีกว่าธนาคารใหญ่อื่น ๆ ในทำนองเดียวกัน เราคาดว่า TISCO จะโดดเด่นในกลุ่มธนาคารขนาดเล็กในแง่ของรายได้ค่าธรรมเนียมของธุรกิจ AM ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโต ในขณะที่คุณภาพสินทรัพย์ก็ยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ บวกกับความสามารถในการจ่ายเงินปันผล ซึ่งจากนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่ 70% ของกำไรทำให้คาดว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของ TISCO จะอยู่ที่ 7-8% ดังนั้น TISCO จึงเป็นหุ้นเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่เราชอบในกลุ่มธนาคาร

Risks

NPL และยอดกันสำรองเพิ่มขึ้น รายได้ค่าธรรมเนียมลดลง ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเร่งตัวขึ้น.