กลยุทธ์การลงทุนรายสัปดาห์ (5 ต.ค.63)

กลยุทธ์การลงทุนรายสัปดาห์ (5 ต.ค.63)

5-9 ตุลาคม: ภาพใหญ่ยังไซด์เวย์ เน้นหุ้นขนาดกลางเช่นเดิม

สรุปภาวะตลาดและมุมมองสัปดาห์นี้: ปัจจัยภายนอกจะยังคงกดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก

ในสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนี SET ย่อลงมาตามที่เราคาดเอาไว้ เนื่องจากปัจจัยลบอย่างเช่น i) ความกังวลเกี่ยวกับการกลับมาใช้เกณฑ์ short-sell ปกติตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป ii) การโต้วาทีรอบแรกของผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐออกมาน่าผิดหวัง และ iii) มีรายงานข่าวออกมาเมื่อวันศุกร์ว่าประธานาธิบดี Trump และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐติดเชื้อ COVID-19 สำหรับภาพในสัปดาห์นี้ (5-9 ตุลาคม) เรามองว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองของสหรัฐ ตัวเลขเศรษฐกิจมหภาคของโลกที่แย่ลง และ สถานการณ์ COVID-19 ทั่วโลกที่แย่ลงจะยังคงฉุดดัชนี SET ทำให้ยังคงขยับลงแบบ
sideways down ต่อไป และหุ้น big caps หลัก ๆ ส่วนใหญ่ก็จะยังคงถูกกดดัน อย่างไรก็ตาม เรามองว่าปัจจัยในประเทศดูเป็นบวกมากขึ้นกับตลาดหุ้นไทย และ เมื่อบวกกับสภาพคล่องในประเทศที่เต็มตลาดก็น่าจะทำให้หุ้น mid cap ปรับตัวได้ดีกว่าตลาด โดยเฉพาะกลุ่มที่มีธีมชัดเจน อย่างเช่น ผลประกอบการ 3Q63 แข็งแกร่ง กุ่มที่จะได้อานิสงส์จากการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ และกลุ่มที่จะได้อานิสงส์จากการที่นักท่องเที่ยวจีนเริ่มมีสัญญาณว่าจะกลับมาเที่ยวไทยอีกครั้ง

ธีมการลงทุน ปัจจัย และกระแสข่าวสำคัญที่จะมีผลกับตลาดในสัปดาห์นี้:

(-) ความไม่แน่นอนทางการเมืองของสหรัฐเพิ่มขึ้นหลังจากที่ Trump ติดเชื้อ COVID-19 โดยในขณะนี้ประธานาธิบดี Donald Trump เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และใช้ยา Remdesivir เพื่อรักษา COVID-19 ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างก็จับตาดูสภาวะด้านสุขภาพของ Trump และประเด็น อื่น ๆ อย่างเช่น i) จะมีการจัดโต้วาทีรอบที่สองระหว่าง Trump-Biden ได้หรือไม่ และ ii) มีความเสี่ยงที่จะต้องเลื่อนกำหนดการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายนออกไปหรือเปล่า ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงก็จะเป็นลบกับตลาดการเงินเพราะจะทำให้เกิดสภาวะความไม่แน่นอนทางการเมืองนานขึ้น

(-) ยอดผู้ติดเชื้อ COVID-19 ทั่วโลก และความหวังที่ลดลงว่า FDA จะอนุมัติวัคซีนได้เร็ว ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา สถานการณ์การติดเชื้อในยุโรปยังคงแย่ลงต่อเนื่อง ดังนั้น จึงยังมีความเสี่ยงสูงว่าจะมีการใช้มาตรการ lockdown แบบกำหนดเป้ าหมายในเมืองใหญ่ ๆ อื่น ๆ ออกนอกจากประเทศอังกฤษฝรั่งเศส และสเปน ซึ่งเริ่มใช้มาแล้วตั้งแต่สองสัปดาห์ก่อน นอกจากนี้ Moderna Inc. ก็เปิดเผยในช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้วว่าบริษัทจะสามารถยื่นขออนุมัติวัคซีนจาก FDA สหรัฐได้อย่างเร็วที่สุดก็วันที่ 25 พฤศจิกายน ซึ่งถือว่าช้าจนน่าผิดหวังนิดหน่อยเมื่อเทียบกับเป้าที่บริษัท และ Pfizer เคยระบุไว้ก่อนหน้านี้ว่าได้ผลการทดสอบวัคซีนประมาณสิ้นเดือนตุลาคม

(+) จะมีการแต่งตั้งรัฐมนตรีคลังของไทยคนใหม่ในเร็ว ๆ นี้ และคาดว่าจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มอีก เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายกรัฐมนตรีได้ทูลเกล้าเสนอชื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ไปแล้ว ถึงแม้จะยังไม่ได้ระบุชื่อ แต่ก็มีการคาดกันว่าจะเป็นนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเคยผ่านการเป็นเลขาฯ สภาพัฒน์ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมาแล้ว เรามองว่า รมว. คลัง คนใหม่และรัฐมนตรีเศรษฐกิจคนอื่น ๆ น่าจะพยายามเข็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ออกมาในเร็ว ๆ นี้ โดยเฉพาะมาตรการที่จะกระตุ้นการบริโภค

ธีมหุ้นที่เราสนใจ: เน้นหุ้น mid cap ที่มีธีมให้เก็งกำไรอย่างชัดเจน

เนื่องจากเรายังมีมุมมองที่ระมัดระวังต่อดัชนี SET และหุ้น big-cap ในระยะสั้น ดังนั้น เราจึงแนะนำให้นักลงทุนเลือกหุ้นแบบ bottom-up โดยเน้นกลุ่ม mid-cap อย่างเช่น i) หุ้นที่ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่งใน 3Q63 โดยในธีมนี้เราชอบ DOHOME* PTG* และ SMPC ซึ่งคาดว่ากำไรจะเติบโตแข็งแกร่ง YoY ii) หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และ ร้านขาย smart phone ที่จะได้อานิสงส์จากกระแส 5G โดยในกลุ่มนี้เราชอบ COM7* และ HANA* และ iii) หุ้นกลุ่มที่จะได้อานิสงส์จากนักท่องเที่ยวจีน อย่างเช่น TKN* ซึ่งจะได้แรงส่งจากการที่นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มแรกเริ่มกลับเข้ามาที่ยว
ประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขที่ต้องกักตัว ในวันที่ 8 ตุลาคม