'เจมส์ บอนด์' No Time To Die เลื่อนฉาย ทำเครือโรงหนังยักษ์ใหญ่ปิดตัว

'เจมส์ บอนด์' No Time To Die เลื่อนฉาย ทำเครือโรงหนังยักษ์ใหญ่ปิดตัว

ฟางเส้นสุดท้าย!!!! การประกาศเลื่อนฉายภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ ภาคใหม่ 'No Time To Die' ส่งผลกระทบให้กับเครือโรงภาพยนตร์ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักรถึงกับประกาศหยุดให้บริการอย่างไม่มีกำหนด

160186396488

การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์โลกอย่างต่อเนื่อง เมื่อภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ตอนล่าสุด No Time To Die เลื่อนกำหนดการเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ จากวันที่ 20 พฤศจิกายน 2563 ไปเป็นวันที่ 2 เมษายน ปี 2564 ส่งผลให้เครือโรงภาพยนตร์ชั้นนำของอังกฤษถึงกับต้องประกาศปิดตัวลงโดยไม่มีกำหนด

นอกจากนี้ การเลื่อนฉาย No Time To Die ยังส่งผลกระทบไปถึงหนังฟอร์มยักษ์อีกเรื่องคือ F9 หรือ Fast & Furious ภาค 9 ที่ต้องขยับวันฉายออกไปเป็นวันที่ 22 พฤษภาคม ปี 2564 จากเดิม 2 เมษายน 2564 อีกด้วย

ทั้งนี้ No Time To Die และ F9 เป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ค่ายหนัง และผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ต่างฝากความหวังเอาไว้ว่าจะช่วยดึงคนให้กลับเข้าไปดู ‘หนังโรง’ กันได้อย่างคึกคักเช่นเดิม ดังนั้น การเลื่อนฉายเจมส์ บอนด์ในครั้งนี้จึงส่งผลกระทบไม่น้อยต่อผู้ประกอบการโรงหนังในประเทศที่เปิดให้บริการได้แล้ว เช่น ประเทศไทย เพราะปัจจุบันคนดูพร้อมที่จะกลับเข้าไปดูหนังในโรงภาพยนตร์กันตามปรกติแล้ว แต่ติดตรงที่ไม่ค่อยมีหนังเข้าใหม่ให้พวกเขาได้ดูกัน เพราะบ้านเราพึ่งพาหนังฮอลลีวูดเป็นหลัก ในเมื่อสถานการณ์โควิด-19 ที่ประเทศสหรัฐฯ ยังไม่กลับคืนสู่ภาวะปรกติ จึงยังไม่สามารถเปิดตัวหนังใหม่ได้

160186399614

No Time to Die เป็นภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ ตอนที่ 25 และเป็นภาคที่ แดเนียล เครก จะรับบทสายลับเจ้าเสน่ห์รายนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว โดยก่อนหน้าที่จะประกาศเลื่อนฉายเพียงไม่กี่วัน ทางค่าย MGM Studios เพิ่งปล่อยตัวอย่างชิ้นล่าสุดออกมาให้ชมกัน พร้อม ๆ ไปกับการเปิดตัว MV เพลงประกอบภาพยนตร์ที่ขับร้องโดย บิลลี่ ไอลิช (Billie Eilish) ท่ามกลางการจับตามองของคนในวงการภาพยนตร์ว่า MGM จะตัดสินใจเลื่อนฉาย No Time To Die หรือไม่เมื่อเห็นตัวอย่างจาก Tenet หนังฟอร์มยักษ์ของผู้กำกับดังอย่าง คริสโตเฟอร์ โนแลนด์ ที่ทำรายได้บ็อกซ์ ออฟฟิศไม่สวยงามนัก

โดย Tenet นั้นใช้ทุนสร้างร่วม 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่นับจากวันเปิดตัว 27 สิงหาคม จนถึงวันที่ 3 ตุลาคม ยังเก็บเกี่ยวรายได้ทั่วโลกไปได้เพียง 243 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น แถมในจำนวนนี้ยังเป็นรายได้ที่มาจากสหรัฐเพียง 41 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น เนื่องจากโรงหนังส่วนใหญ่ในลอสแองเจลีส, นิวยอร์ก และซานฟรานซิสโก ยังคงปิดให้บริการอยู่

ในส่วนของภาพยนตร์เจมส์ บอนด์นั้น รายได้ส่วนใหญ่จะมาจากตลาด UK และตลาดยุโรป ซึ่งตอนนี้การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังรุนแรงอยู่ ทาง MGM จึงเกรงว่าหากเปิดตัวไปตัวเลขบ็อกซ์ ออฟฟิศ น่าจะออกมาไม่ดีนัก จึงตัดสินใจเลื่อนการเปิดตัวออกไป ขณะที่เจมส์ บอนด์ ภาคก่อน คือ Spectre (2015) นั้น กวาดรายได้ทั่วโลกไปมากถึง 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แถมเพลงประกอบภาพยนตร์ยังได้รับรางวัลออสการ์ไปครองอีกด้วย

160183832451

Cineworld, Hollywood Reporter

  • เครือโรงหนังใหญ่สุดของอังกฤษปิดให้บริการ

ทางด้านหนังสือพิมพ์ The Sunday Times รายงานว่า Cineworld เครือโรงภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษ และใหญ่เป็นอันดับ 2 ในแถบอเมริกาเหนือ มีแผนที่จะปิดโรงหนังทั้งหมดในสหราชอาณาจักร (ซึ่งมีอยู่กว่า 120 แห่ง) และโรงหนังในสหรัฐอเมริกา (ซึ่งมีอยู่ราว 540 แห่ง ภายใต้ชื่อ Regal Cinemas) หลังจากที่ No Time To Die ประกาศเลื่อนฉาย

เบื้องต้นทาง Cineworld และ Regal ยังไม่ตอบคำถามสื่อถึงข่าวที่เกิดขึ้น ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการปิดโรงภาพยนตร์ครั้งนี้น่าจะยาวไปถึงปีหน้า แถมยังเกิดความกังวลกันขึ้นว่าเครือโรงหนังที่ใหญ่สุดในสหรัฐอเมริกาอีก 2 เครือ คือ AMC Theatres และ Cinemark Theates อาจจะต้องปิดตัวตามในไม่ช้า

การประกาศเลื่อนกำหนดฉายของ No Time to Die เกิดขึ้นตามรอยภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เกี่ยวกับซูเปอร์ฮีโรหญิง 2 เรื่องคือ Wonder Woman: 1984 จากค่ายดีซี และ Black Widow จากค่ายมาร์เวล สตูดิโอ

ขณะที่หนังของสตีเวน สปีลเบิร์กเรื่อง West Side Story และ Death of the Nile ของเคนเนธ บรานาห์ ก็เลื่อนกำหนดฉายเช่นกัน ซึ่งการเลื่อนฉายภาพยนตร์ทั้งหมดนี้อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ที่พึ่งพารายได้จากหนังฟอร์มยักษ์มากเกินไป

 

  • สถานการณ์โรงหนังทั่วโลก

สำหรับสถานการณ์ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในสหรัฐอเมริกานั้น เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา สมาพันธ์เจ้าของโรงภาพยนตร์แห่งชาติ (National Association of Theatre Owners) สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์อเมริกา (Directors Guild of America) และสมาคมภาพยนตร์อเมริกัน (Motion Picture Association) ได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกที่ได้รับการลงนามจากเหล่าผู้กำกับของฮอลลีวูด อาทิ เจมส์ คาเมรอน, คลินท์ อีสต์วูด รวมถึง สตีฟ แมคควีนจากอังกฤษ เรียกร้องให้สภาคองเกรสให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการโรงหนังโดยระบุว่า หากสถานการณ์ปัจจุบันยังดำเนินอยู่โดยที่รัฐไม่เข้ามาช่วยเหลือ โรงหนังขนาดกลางและเล็กมากถึง 69 เปอร์เซ็นต์ในสหรัฐฯ จะต้องล้มละลายหรือปิดตัวลง

แต่นายจอห์น ฟิเธียน ผู้อำนวยการสมาพันธ์เจ้าของโรงภาพยนตร์แห่งชาติ กลับให้สัมภาษณ์ Variety เอาไว้ว่าทางค่ายหนังต่าง ๆ เองก็ควรจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลืออุตสาหกรรมภาพยนตร์ด้วยการปล่อยภาพยนตร์ใหม่ ๆ ออกมา

“ถ้าเราไม่มีหนังอะไรออกมาเลยจนกว่าเราจะได้วัคซีนกันทั่วโลก บริษัทเกี่ยวกับภาพยนตร์จำนวนมากก็จะล้มหายตายจากไป แล้วโรงภาพยนตร์เองก็จะอยู่ไม่ได้” นายฟิเธียนกล่าว “ความคิดที่จะรอดูสถานการณ์การระบาดเพื่อให้หนังของพวกคุณทำกำไรมากขึ้นนั้นมันไม่สมเหตุสมผลสำหรับผมเลย มันคงมีคนในวงการเหลืออยู่เพื่อฉายหนังให้คุณไม่มากแล้ว ถ้าหากว่าคุณทำแบบนั้น”

ส่วนที่จีน ตลาดหนังใหญ่อันดับ 2 ของโลกนั้น โรงหนังต่าง ๆ เปิดให้บริการมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมภายใต้เงื่อนไขการรักษาระยะห่างทางสังคม และมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเข้มงวด

ที่อินเดีย ซึ่งมีอุตสาหกรรมหนังอันใหญ่โตอย่าง ‘บอลลีวู้ด’ โรงหนังจะกลับมาเปิดเป็นบางส่วนในช่วงกลางเดือนตุลาคมนี้ ก่อนหน้าที่จะมีวันหยุดยาวช่วงเทศกาลดิวาลี (Diwali) ในเดือนพฤศจิกายน

ส่วนที่สหราชอาณาจักรนั้น ทางการไฟเขียวให้เปิดโรงหนังได้มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมแล้ว แต่สถานการณ์ก็ยังย่ำแย่ โรงหนังจำนวนมากยังไม่ได้เปิดให้บริการ ขณะที่ Cineworld ซึ่งเพิ่งกลับมาเปิดโรงหนังทั่ว UK เมื่อต้นเดือนกันยายนนี้ ก็เพิ่งรายงานว่าขาดทุนช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 ไปมากถึง 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

160183853484

ล่าสุดเริ่มมีกระแสเรียกร้องให้ค่ายหนังนำภาพยนตร์ใหม่ ๆ มาเปิดตัวทางระบบสตรีมมิง แทนที่จะรอเปิดตัวในโรงภาพยนตร์กันหนาหูมากขึ้นแล้ว และเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางวอร์เนอร์ บราเธอร์ส ก็ประกาศว่าจะนำหนังฟอร์มยักษ์เรื่อง The Witches ที่สร้างจากหนังสือเด็กของโรอัลด์ ดาห์ล นำแสดงโดย แอนน์ แฮธอะเวย์ ไปเปิดตัวทางระบบสตรีมมิง HBO Max ในสหรัฐ ส่วนประเทศที่โรงหนังเปิดให้บริการแล้วก็จะเข้าฉายตามโรงปรกติ