"แป๊ะเจี๊ยะ" เตรียมอุดมฯเงินสะพัดปีละ 100 ล้านบาท

"แป๊ะเจี๊ยะ" เตรียมอุดมฯเงินสะพัดปีละ 100 ล้านบาท

อดีตผอ.เตรียมอุดมฯ เผยแป๊ะเจี๊ยะเงินสะพัดปีละ 100 ล้านบาท ยืนยันโปร่งใส ทุกเรื่องตรวจสอบได้ พร้อมพูดความจริง เชื่อคนออกมาต่อต้านต้องการทำลายชื่อเสียง

จากกรณีที่มีกลุ่มครูและนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแต่งชุดดำชุมนุมกล่าวหานายโสภณ กมล อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาว่า ไม่โปร่งใสขณะที่ดำรงตำแหน่ง และทำให้ความงดงามและวัฒนธรรมอันดีของโรงเรียนเลือนหายไป โดยเฉพาะการเซ็นคำสั่งย้ายครูที่เห็นต่างให้ไปเป็นครูปกติ และแต่งตั้งครูที่เห็นชอบกับตนเองขึ้นมารับตำแหน่งแทน ซึ่งถูกมองว่าเป็นการเซ็นคำสั่งย้ายแบบฉับพลันก่อนจะเกษียณอายุราชการเพียง 2 วันนั้น

วันนี้ (2 ต.ค.2563)  นายโสภณ กมล อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ได้นำหลักฐานชี้แจงเรื่องความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นถึงการรับนักเรียนชั้นม.4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ณ ห้องนักข่าวกระทรวงศึกษาธิการ 

นายโสภณ กล่าวว่า วันนี้ต้องการมาชี้แจงข้อเท็จจริงต่างๆที่เกิดขึ้นกับการรับนักเรียนของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร เพราะตนเองเงียบมานานและไม่อยากให้โรงเรียนต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง โดยตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนเมื่อเดือนพ.ย.2561 ถูกกลุ่มศิษย์เก่าและครูโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาร้องสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบกรณีการบริหารงานโดยมิชอบและมีการเปลี่ยนหลักเกณฑ์การรับนักเรียนชั้นม.4 ปีการศึกษา 2563  

ขอชี้แจงว่า การรับนักเรียนเมื่อปีการศึกษา 2563 ของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาชั้นม.ไม่สามารถไปปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การรับนักเรียนได้ เนื่องจากต้องยึดหลักเกณฑ์แนวปฎิบัติการรับนักเรียนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมาก่อนที่มารับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษามีการกำหนดรับนักเรียนเงื่อนไขพิเศษเกือบ 300 คนในปี 2559 -2561  ดังนั้น ตอบได้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้เงื่อนไขพิเศษที่รับมามีที่มาที่ไปอย่าง  

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาป.ป.ช.และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้มาตรวจสอบติดตามการรับนักเรียนของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาในยุคที่ “นายโสภณ” ได้เข้ามาบริหารงาน ทั้ง 2หน่วยงานก็ไม่ได้ติดใจและการรับนักเรียนของโรงเรียนเตรียมฯดำเนินการอย่างโปร่งใสตรวจสอบได้ โดยกรณีการรับนักเรียนเงื่อนไขพิเศษนั้นโรงเรียนจะทำเรื่องเสนอให้คณะกรรมการรับนักเรียนของสถานศึกษาจากนั้นเมื่อได้ข้อสรุปก็จะส่งต่อไปให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) กทม.พิจารณาอนุมัติการรับนักเรียนด้วยวิธีเงื่อนไขพิเศษ ขอยืนยันว่าในยุคของตนเองนั้น สามารถตรวจสอบได้หมดทุกเรื่อง ไม่มีเรื่องทุจริต เชื่อว่ากลุ่มที่ไปร้องเรียนต้องการทำลายชื่อเสียง

“ทุกคนที่มีการร้องเรียน ผมได้เข้าพบป.ป.ช.และชี้แจงว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นกับโรงเรียนบ้าง  กติกาการรับนักเรียนด้วยเงื่อนไขพิเศษจะต้องดำเนินการประกาศรับแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และต้องประกาศให้สาธารณชนรับทราบ แต่ก่อนหน้าที่มารับตำแหน่งมีการประกาศรับนักเรียนด้วยเงื่อนไขพิเศษหลายรอบและไม่มีการประกาศให้สังคมรับทราบ ซึ่งถือว่าทำผิดกฎระเบียบการรับนักเรียน ดังนั้นการรับนักเรียนในปีนี้จึงมีความตึงเครียดเกิดขึ้นในโรงเรียน เพราะผมไม่ทำตามข้อเรียกร้องของบางกลุ่มจนทำให้มีผู้เสียผลประโยชน์เกิดขึ้น คนเคยฝากได้กลับฝากไม่ได้ เนื่องจากแต่ละปีมีเงินจากการรับนักเรียนสะพัดปีละ 100 ล้านบาท”นายโสภณ กล่าว   

นายโสภณ กล่าวต่อไป  สำหรับการการตรวจสอบเส้นทางการเงินจาก ป.ป.ช.พบว่า สมาคมฯนี้มีปัญหาการรับนักเรียนเกิดขึ้น เพราะพบเส้นทางการเงินเข้าออกอย่างมโหฬาร และมีการถอนเงินเข้าออกในบัญชีจากนาย ก แต่ละปีหลายล้านบาท ซึ่งป.ป.ช.ตรวจสอบไปถึงเส้นทางการเงินของนาย ก พบ มีการนำเงินไปสู่การซื้อทรัพย์สินรถหรูยี่ห้อ Benz BMW และ Toyota ALPHARDE 

ตามสืบไปจนถึงบริษัทรถยนต์พร้อมขอดูรายชื่อที่กรมการขนส่งทางบกจนพบว่า รถยนต์หรู จำนวน 24 คันถูกส่งมาที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ตั้งแต่ในปี 2559-2561 รวมถึงการตรวจสอบของป.ป.ช.พบตัวละคร นาง ง ผู้เดินเรื่องการรับนักเรียนมีเงินสดและเงินโอนเข้าบัญชี โดยนาง ง  มีการโอนเงินเข้าบัญชีบุคลากรในโรงเรียนด้วย ดังนั้นขณะนี้ ป.ป.ช มีข้อมูลมและหลักฐานทุกอย่างแล้ว  

นอกจากนั้น กรณีที่มีการโยกย้ายครูนั้น เพราะมีความเกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายเงินบัญชีโดยไม่มีการรายงานผู้อำนวยการ ซึ่งมีผู้บริหารระดับรองผู้อำนวยการโรงเรียนและครูที่เกี่ยวข้อง รวม 5 ราย โดยการโยกย้ายออกจากตำแหน่งเดิมที่เคยทำหน้าที่อยู่ เพื่อเปิดทางในการตรวจสอบสิ่งที่ไม่ขอบมาพากลต่างๆ แต่เรื่องนี้กลับไม่จบ ผู้ที่โยกย้ายกลับไปปลุกปั่นนักเรียนและครูในโรงเรียนให้ออกมาขับไล่และต่อต้านตน

ดังนั้น จึงต้องออกมาพูดความจริงทั้งหมด รวมทั้ง ต้องนำผู้ที่ยักยอกเงินโรงเรียนไปสู่กระบวนการสอบสวนทางวินัยร้ายแรงให้ได้ โดยได้สรุปเรื่อง เพื่อให้ดร.กิติภพ ภวณัฐกุลธร รักษาการผอ.รร ไปแจ้งความเพื่อดำเนินคดีก่อนจะนำสำเนาใบแจ้งความไปมอบให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 เพื่อตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงและสอบสวนทางวินัยในลำดับต่อไป