นาปา แวลลีย์ ในวันที่ไฟป่าเผาผลาญ  

นาปา แวลลีย์  ในวันที่ไฟป่าเผาผลาญ   

ช่วงนี้ในหลายรัฐของสหรัฐกำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่คือ 'ไฟป่า' โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2 รัฐที่ถือเป็นหัวใจของการผลิตไวน์ของสหรัฐนั่นคือ ‘แคลิฟอร์เนีย’ (ผลผลิตไวน์ประมาณ 96%) และ ‘โอเรกอน’ (ผลผลิตไวน์ประมาณ 1%)  

ในแคลิฟอร์เนียนั้นแหล่งผลิตไวน์สำคัญที่ได้รับผลกระทบมากที่คือ นาปา แวลลีย์ส่วน โอเรกอน เขตที่ได้รับความเสียหายคือ โคลัมเบีย แวลลีย์ เรียกว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริง ๆ หลังจากที่ถูกโควิด-19 รุกรานจนตราบเท่าทุกวันนี้ และไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อใด

จากข้อมูลเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา หลาย ๆ ไวเนอรีในเมืองต่าง ๆ ใน นาปา แวลลีย์ ได้รับความเสียหายจากไฟป่า ประชาชนกว่า 2,000 คน ได้อพยพออกจากพื้นที่ ไวเนอรีประมาณ 64 แห่ง ในนาปา เคาน์ตี ตกอยู่ในวงล้อมของไฟ ขณะที่บ้านเรือนถูกทำลายไปกว่า 2,268 หลัง ที่โดนหนักที่สุดคือ ชาโต บอสเวลล์ (Château Boswell) ก่อตั้งมากว่า 40 ปี ในเมืองเซนต์ เฮเลนา (St. Helena) ถูกเผาผลาญจนราบเรียบ

  160158144756

 ไฟป่าในหุบเขา Davis Estates

นาปา แวลลีย์ (Napa Valley) เป็น 1 ใน 14 แผ่นดินทองของการปลูกองุ่นทำไวน์คุณภาพเยี่ยมของโลก ที่สถาบันภูมิทัศน์และสถาปัตยกรรมไร่องุ่นระหว่างประเทศ (Institut International des Paysages et Architectures Viticoles) ประกาศ ณ กรุงปารีส เมื่อปี 2000 ให้เป็นเขตผลิตไวน์ที่มีอายุประมาณ 150 ปีเศษ คำว่า Napa เป็นภาษาอินเดียนแดงแปลว่า ความงดงาม ความอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากพื้นที่เดิมเต็มไปด้วยสัตว์ป่าและพืชพรรณนานาชนิด 

 นาปา แวลลีย์ อยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย อยู่ในเขตการผลิตไวน์ที่เรียกว่า เวสต์ โคสต์ (West Coast)  หรือชายฝั่งด้านตะวันตกที่ติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นแหล่งผลิตไวน์สำคัญระดับหัวกะทิของสหรัฐฯ ประกอบด้วยรัฐใหญ่ ๆ 6-7 รัฐ แต่ที่สำคัญต่อวงการไวน์มี 3 รัฐคือ รัฐแคลิฟอร์เนีย วอชิงตัน และโอเรกอน

160158149020

 

นาปา แวลลีย์ มีลักษณะเป็นหุบเขา ตามแนวตะวันตกเฉียงเหนือไปตะวันตกเฉียงใต้ ความยาวประมาณ 48 กม.เศษ ๆ  ประกอบด้วย 6 เมืองเล็กคือ นาปา (Napa) ยอนต์วิลล์ (Yontville) โอ๊ควิลล์ (Oakville) รุทเธอร์ฟอร์ด (Rutherford) เซนต์ เฮเลนา (St.Helena) และคาลิสโทกา (Calistoga) มีไร่องุ่นและโรงผลิตไวน์อยู่ประมาณ 200 แห่ง ไวน์จากเขตนี้มีบุคลิกพิเศษคือ มีผลไม้เปลือกดำ แบล็คเคอร์แรนท์ แบล็คเบอร์รี  กล่องซิการ์ และไม้ซีดาร์ เป็นต้น

160158163260

  Viader Vineyards ถูกไฟเผา

นาปา แวลลีย์ อยู่ทางเหนือของซานฟรานซิสโก ขับรถข้ามสะพานโกลเด้นเกทแล้วใช้ถนนทางหลวงหมายเลข 29  ประมาณ 2 ชั่วโมง เมืองแรกที่จะพบซึ่งเปรียบเสมือนประตูสู่นาปา แวลลีย์คือ ลอส คาร์เนรอส (Los Carneros) ตรงนี้ถ้าจะไปโซโนมา เคาน์ตี้ (Sonoma County)  จะต้องเลี้ยวไปใช้ทางหลวงหมายเลข 101  จาก ลอส คาร์เนรอส ตามถนนหมายเลข 29 จะถึงเมืองยอนท์วิลล์ จากนั้นจะเข้าเมืองโอ๊ควิลล์ ไปรุทเธอร์ฟอร์ด ไปเซนต์ เฮเลนา และสิ้นสุดที่คาลิสโทกา

160158155939

 Davis Estates ไวเนอรี อยู่ใกล้กับ

นาปา แวลลีย์ เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าพื้นเมืองชื่อแวปโป (Wappo) และคำว่า Napa Valley ก็เป็นภาษาของชนเผ่าพื้นเมืองแปลว่าหุบเขาแห่งความอุดมสมบูรณ์ เพราะมีที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารอย่างยิ่ง และไม่ถูกทำลายโดยนักแสวงโชค ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ที่แห่แหนกันมาขุดทองในรัฐแคลิฟอร์เนีย แถว ๆ เซียร์รา ฟูทฮิลส์ (Sierra Foothills) และเมนโดชิโน (Mendocino) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของมลรัฐ

160158169770

  ควันไฟเหนือไร่องุ่นที่โอเรกอน

ปี 1858 จอห์น แพทเชทท์ (John Patchett)  หักร้างถางพงทำไร่องุ่นเพื่อผลิตไวน์ขายอย่างเป็นทางการครั้งแรกในหุบเขาแห่งนี้  ต่อมาปี 1861 นายชาร์ล ครุก ชาวเยอรมันสร้างโรงงานผลิตไวน์เป็นแห่งแรกของนาปา แวลลีย์ ที่เซนต์ เฮเลนา  ปัจจุบันก็ยังอยู่

ปี 1864 นายจอร์จ ไครเวิร์ท ยอนท์ (George Caivert Yount) โธมัส รุทเธอร์ฟอร์ด (Thomas Rutherford) ลูกบุญธรรม พร้อมอลิซาเบธ เจ้าสาว ได้รับที่ดิน 1,040 เอเคอร์ (ประมาณ 4 ตารางกิโลเมตร) จากว่าที่พ่อตา แล้วปลูกองุ่นทำไวน์ระดับคุณภาพสูง ปัจจุบันที่ตรงนั้นคือเมืองรุทเธอร์ฟอร์ด เขาเป็นคนแรกที่ปลูกองุ่นทำไวน์อย่างจริงจังในหุบเขานาปา (Napa Valley)

  160158173769

 ตุ้นองุ่นกาแบร์เนต์ โซวีญยง และกาแบร์เนต์ ฟรอง ถูกไฟเผา

ต่อมาปี 1879 กับตัน กุสตาฟ นีบอม ก่อตั้งไร่องุ่นอิงเกิ้ลนุ้ก ไวเนอรี ใกล้ ๆ กับรุทเธอร์ฟอร์ด ทำไวน์สไตล์บอร์กโดซ์ เบลนด์ รายแรกในสหรัฐอเมริกา และได้เหรียญทอง จากงาน World's Fair in Paris 1889 ต่อมา ฟรานซิส ฟอร์ด คอพโพลา นักสร้างหนังชื่อดังมาซื้อกิจการ และดำเนินการมาจนถึงปัจจุบัน

 อย่างไรก็ตามบุคคลที่ถือเป็นตำนานของไวน์นาปา แวลลีย์ และแคลิฟอร์เนีย ตัวจริงเสียงจริงคือ “เจ้าพ่อไวน์นาปา แวลลีย์”  โรเบิร์ต มอนดาวี (Robert Mondavi) ชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาลี ที่เสียชีวิตเมื่อกลางเดือนพฤษภาคม 2008  เขาทำให้ไวน์จากนาปา แวลลีย์ และแคลิฟอร์เนีย ก้าวสู่ระดับโลก หลังจากก่อตั้งโรเบิร์ต มอนดาวี ไวเนอรีในปี 1966 เพื่อผลิตไวน์คุณภาพแข่งขันกับยุโรป จากนั้นก็จับมือกับชาโต มูตง ร็อธส์ชิลด์ ยักษ์ใหญ่แห่งฝรั่งเศสสร้าง ไวน์โอปุส วัน (Opus One) จนโด่งดัง พร้อมกับผลิตไวน์ยี่ห้ออื่น ๆ อีก ซึ่งล้วนได้รับความเชื่อถือจากวงการไวน์ทั้งสิ้น

  160158179245

   ทำได้เพียงเท่านี้

เมื่อพูดถึงนาปา แวลลีย์ ก็ของกล่าวถึงเขตที่เป็นคู่กันและได้รับผลกระทบจากไฟป่าเช่นกัน คือ โซโนมา เคาน์ตี้ (Sonoma County) การผลิตไวน์ของโซโนมา เคาน์ตี้  ได้ฝีมือของ 3 ชาติที่เก่งกาจในการผลิตไวน์คือชาวอิตาเลียน ฝรั่งเศสและเยอรมัน ที่อพยพมาแคลิฟอร์เนีย เริ่มหักร้างถางพงปลูกองุ่นทำไวน์ปี ค.ศ. 1855 ประกอบด้วย  13 เขต AVA  ที่ล้วนผลิตไวน์ได้เยี่ยมทั้งสิ้น เช่น  Sonoma County, Sonoma Valley, Sonoma Mountain, Dry Creek Valley, Alexander Valley, Russian River Valley, Sonoma Green Valley, Chalkhill และ Knights Valley มีผู้ผลิตไวน์ราว 250 ราย

160158183749

  ป้ายยินดีต้อนรับในวันที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิง

เขตที่ต้องกล่าวถึงคือ โซโนมา แวลลีย์ (Sonoma Valley) ซึ่งแปลว่า หุบเขาแห่งวงพระจันทร์” (Valley of the Moon) นายอกอสตัน ฮาราสซ์ธี (Agoston Haraszthy) ชาวฮังการีเป็นคนแรกที่สานต่อการปลูกองุ่นทำไวน์อย่างเป็นทางการที่นี่ในปี 1857 หลังจากที่พระฟรานซิสกัน (Franciscan) เริ่มปลูกองุ่นครั้งแรกที่ Mission San Francisco Solano ในปี 1823 ปัจจุบันมีไร่องุ่น 254 แห่ง พื้นที่ปลูกองุ่น 65,000 เอเคอร์ มีเขตย่อย 2 AVA คือลอส คาร์เนรอส (Los Carneros) ที่มีชื่อเสียงในการทำสปาร์คกลิ้งไวน์ เพราะอากาศเย็นสามารถปลูกชาร์โดเนย์ และปิโนต์ นัวร์ ได้ดี  และ โซโนมา เมาน์เทน (Sonoma Mountain) ที่มี Microclimate ปลูกองุ่นพันธุ์ดัง ๆ จากยุโรปได้ดี เช่น กาแบร์เนต์ โซวีญยง, ชาร์โดเนย์, ปิโนต์ นัวร์, โซวีญยง บลอง และ เซมิลยอง เป็นต้น

160158188011

  ส่วนหนึ่งของไวน์จากนาปา แวลลีย์

โซโนมา เป็นแหล่งผลิตสปาร์คกลิ้งไวน์ที่สำคัญของแคลิฟอร์เนีย โดย Korbel Brothers เป็นเจ้าแรกที่ทำสปาร์คกลิ้งไวน์ด้วยวิธีแบบแชมเปญ (Méthode Champenoise) จากองุ่นรีสลิ่ง, ชาส์เซลาส, มุสกาเทล และทรามิเนอร์ (Riesling,  Chasselas, Muscatel and Traminer) ปัจจุบันหลายบริษัททำจากองุ่นพันธุ์เดียวกับแชมเปญคือ ชาร์โดเนย์, ปิโนต์ นัวร์ และปิโนต์ มูนิเยร์ บางรายผสมปิโนต์ บลอง, เชอแนง บลอง และเฟรนช์ โคลอมบาร์ด บริษัทแชมเปญดัง ๆ ต่างมาตั้งฐานผลิตที่นี่ เช่น Domaine Chandon โดย Moët et Chandon, Domaine Carneros โดย Taittinger's และ Roederer Estate โดย Louis Roederer  เป็นต้น   ขณะเดียวกัน อเล็กซานเดอร์ แวลลีย์ (Alexander Valley AVA)  ยังได้ชื่อว่าทำไวน์หวาน (Late Harvest) จากรีสลิ่งได้ยอดเยี่ยมด้วย

160158195446

 ไร่องุ่นในเดียร์พาร์ค 

ณ เวลานี้สิ่งที่ทำได้คือ...ส่งกำลังใจไปช่วยเกษตรกรและผู้ผลิตไวน์ในนาปา แวลลีย์ รวมทั้งเขตอื่น ให้อยู่รอดปลอดภัย...