แรงขายทำกำไรฉุดดาวโจนส์ร่วง131จุด

แรงขายทำกำไรฉุดดาวโจนส์ร่วง131จุด

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดวันอังคาร(29ก.ย.)ร่วงลง131 จุด ขณะที่นักลงทุนขายทำกำไร หลังจากดัชนีพุ่งกว่า 400 จุดวานนี้ (28ก.ย.)และนักลงทุนจับตาการดีเบตรอบแรกระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และนายโจ ไบเดน ไบเดน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ร่วงลง 131.4 จุด หรือ 0.48% ปิดที่ 27,452.66 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วง 16.13 จุด หรือ 0.48% ปิดที่ 3,335.47 จุด และดัชนีแนสแด็ก ร่วง 32.28 จุด หรือ 0.29% ปิดที่ 11,085.25 จุด

อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้นเมื่อวันจันทร์ ขานรับความคืบหน้าเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร หลังจากหุ้นทั้งสองกลุ่มร่วงลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา

นักลงทุนจับตาการดีเบตรอบแรกระหว่างคู่ชิงประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งได้แก่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จากพรรครีพับลิกัน และนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ จากพรรคเดโมแครต

การดีเบตจะมีขึ้นในวันนี้ เวลา 21.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับเช้าวันพรุ่งนี้ เวลา 08.00 น.ตามเวลาไทย โดยจะมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลกผ่านทางสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น และการดีเบตจะใช้เวลารวม 90 นาที ซึ่งผู้เข้าดีเบตจะต้องแสดงวิสัยทัศน์ใน 6 หัวข้อ ได้แก่ ประวัติของทรัมป์และไบเดน, ศาลฏีกาสหรัฐ, โควิด-19, เศรษฐกิจ, เชื้อชาติและความรุนแรงในเมืองต่างๆของสหรัฐ รวมทั้งความบริสุทธิ์ยุติธรรมของการเลือกตั้ง โดยแต่ละหัวข้อจะใช้เวลาอภิปราย 15 นาที

สำหรับการดีเบตรอบแรกนี้ ตัวแทนของทรัมป์และไบเดนเห็นพ้องกันว่าผู้อภิปรายทั้งสองจะไม่มีการจับมือทักทายกันก่อนการดีเบตตามธรรมเนียมปฏิบัติแต่อย่างใด อันเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้ รวมทั้งจะไม่มีการเอาข้อศอกชนกันด้วย ขณะที่ทั้งทรัมป์และไบเดนจะไม่สวมหน้ากากอนามัย ส่วนการยืนบนเวทีนั้น ทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่า ทรัมป์จะใช้โพเดียมฝั่งขวาของเวที ส่วนไบเดนจะใช้โพเดียมฝั่งซ้าย และผู้เข้าชมการดีเบตจะถูกจำกัดเหลือเพียง 60-70 คน จากเดิมที่มีจำนวน 900-1,200 คน และทุกคนจะต้องมีผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นลบ

นักวิเคราะห์เตือนว่าการซื้อขายในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะประสบความผันผวนในสัปดาห์นี้ โดยได้รับผลกระทบจากการดีเบต ซึ่งหากทรัมป์ชนะการดีเบตดังกล่าว ก็จะส่งผลให้หุ้นในกลุ่มเชื้อเพลิงฟอสซิล และบริษัทผลิตอาวุธดีดตัวขึ้น และหากไบเดนเป็นฝ่ายชนะ ก็จะทำให้หุ้นในกลุ่มที่มีการค้าทั่วโลก และกลุ่มพลังงานหมุนเวียนปรับตัวขึ้น

นอกจากนี้ มีการคาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะทรุดตัวลง หากไบเดนคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 3 พ.ย. แต่ตลาดจะขานรับชัยชนะของทรัมป์ จากการที่ไบเดนมีนโยบายเพิ่มภาษีคนรวยเพื่อช่วยคนจน โดยเขาจะยกเลิกมาตรการปรับลดอัตราภาษีของทรัมป์ ด้วยการปรับขึ้นอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสู่ระดับ 28% จากเดิมที่ทรัมป์ปรับลดจาก 35% สู่ระดับ 21% ในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ไบเดนจะปรับเพิ่มภาษีของครัวเรือนที่มีรายได้มากกว่า 400,000 ดอลลาร์ต่อปี โดยมีการคาดการณ์ว่าการปรับขึ้นภาษีดังกล่าวจะช่วยให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น 4 ล้านล้านดอลลาร์ภายในเวลา 10 ปี ขณะที่ไบเดนเปิดเผยว่าเขาจะเพิ่มการลดหย่อนภาษีสำหรับชนชั้นกลาง และให้เงินอุดหนุนภาษีสำหรับการเลี้ยงดูบุตรมากขึ้น

ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังจับตาความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างสภาคองเกรสและทำเนียบขาวในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ โดยนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ส่งสัญญาณว่า ตนและนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ มีแนวโน้มบรรลุข้อตกลงในการออกมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจรอบใหม่ เพื่อลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ทั้งนี้ มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจดังกล่าวมีวงเงิน 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่พรรคเดโมแครตมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้ทำเนียบขาวและสภาคองเกรสบรรลุข้อตกลงกันก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะมีขึ้นในเดือนพ.ย.

ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ ผลสำรวจของ Conference Board ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับ 101.8 ในเดือนก.ย. จากระดับ 86.3 ในเดือนส.ค. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 89.5 โดยดัชนีความเชื่อมั่นได้รับแรงหนุนจากการที่ผู้บริโภคมีความมั่นใจมากขึ้นต่อตลาดแรงงาน

ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐเป็นการสำรวจมุมมองของผู้บริโภค และความเชื่อมั่นต่อสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และในช่วง 6 เดือนข้างหน้า, สถานะการเงินส่วนบุคคล และการจ้างงาน