ครม.อนุมัติการลงทุนโครงการนิคมอุตสาหกรรม สมาร์ท พาร์ค ในพื้นที่อีอีซี

ครม.อนุมัติการลงทุนโครงการนิคมอุตสาหกรรม สมาร์ท พาร์ค ในพื้นที่อีอีซี

ครม.อนุมัติการลงทุนโครงการนิคมอุตสาหกรรม สมาร์ท พาร์ค ในพื้นที่อีอีซีให้กนอ.ลงทุน วงเงิน 2370 ล้านบาท ตอบโจทย์อุตเป้าหมาย

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 ว่า ครม. เห็นชอบการลงทุนโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม Smart Park จังหวัดระยอง พื้นที่รวม 1,383 ไร่ มูลค่าประมาณ 2,370 ล้านบาท ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาลสำหรับการลงทุนในพื้นที่พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โดย  ตั้งอยู่ในตำบลห้วยโป่ง อำเภอเมือง จังหวัดระยอง มีระยะทางห่างจากท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด 7 กิโลเมตร สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา 17 กิโลเมตร ท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ 29 กิโลเมตร ท่าเรือแหลมฉบัง 53 กิโลเมตร และสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ 150 กิโลเมตร เนื้อที่โครงการทั้งหมด 1,383 ไร่

แบ่งการใช้ประโยชน์ที่ดินออกเป็น 1)พื้นที่อุตสาหกรรม จำนวน 621.55 ไร่ 2)พื้นที่พาณิชยกรรม จำนวน 150.54 ไร่ 3)พื้นที่สาธารณูปโภค เช่น พื้นที่จอดรถส่วนกลาง ระบบผลิตน้ำประปา ระบบบำบัดน้ำเสีย สถานีไฟฟ้าย่อย และถนน จำนวน 373.35 ไร่ และ4)พื้นที่สีเขียวและแนวกันชน จำนวน 238.32 ไร่

ป้าหมายของโครงการจะมุ่งเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (New S-Curve) ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมหุ่นยนต์กลุ่มอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล และกลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ 4.ผลการวิเคราะห์ความเหมาะสมทางการเงินและเศรษฐกิจของโครงการระยะเวลา 30 ปี มีความคุ้มทุนในทางการเงินและมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ โดยมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เท่ากับ 585.74 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนของโครงการ (IRR) 8.91% ซึ่งมากกว่าต้นทุนถัวเฉลี่ย ถ่วงน้ำหนักของเงินทุน (WACC) ของ กนอ. (ร้อยละ 7.25) และมีระยะเวลาคืนทุน 14 ปี

“โครงการนี้จะใช้เวลาก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ประมาณ 3 ปี และจะจัดทำแผนการตลาดเพื่อเชิญชวนผู้ประกอบการและนักลงทุน โดยคาดว่าพื้นที่จะถูกเช่าหมดภายใน 4 ปี หลังจากก่อสร้างแล้วเสร็จ และเมื่อโครงการแล้วเสร็จ จะเกิดการจ้างงานประมาณ 7,459 คน มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจพื้นที่ประมาณ 1,342 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้ทุกกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องยึดหลักการดูแลสิ่งแวดล้อมและหลักสิทธิมนุษยชน ทุกส่วนราชการจะต้องเข้มงวดในเรื่องการติดตามและประเมินผล เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชน”