อคส.ลุ้นดีเอสไอชี้มูลทุจริตถุงมือยางแสนล้าน

อคส.ลุ้นดีเอสไอชี้มูลทุจริตถุงมือยางแสนล้าน

“ดีเอสไอ” เร่งสอบปากคำเจ้าหน้าที่อคส.ปมทุจริตจัดซื้อถุงมือยาง 1.12 แสนล้านบาท ส่วนอายัดเงิน 2 พันล้านบาท ต้องรอดีเอสไอชี้มูลความผิดมาก่อน ปปง.จึงจะอายัดเงินได้ ล่าสุดพบ การ์เดียนโกลฟส์ถอนเงินออกจากบัญชีแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีการจัดซื้อถุงมือยาง 500 ล้านกล่อง รวมมูลค่า 112,500 ล้านบาท ที่พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ อดีตรักษาราชการแทน ผู้อำนวยการ อคส. ได้จัดซื้อจากบริษัท การ์เดียน โกลฟส์ จำกัด และได้จ่ายมัดจำค่าสินค้าให้บริษัท 2,000 ล้านบาท โดยที่บริษัทไม่ได้วางหลักประกันสัญญา รวมถึงการจัดซื้อดังกล่าวไม่ได้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่อเข้าข่ายการทุจริต ว่า ล่าสุด กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้สอบปากคำเจ้าหน้าที่ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) ไปแล้วหลายปาก โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน รวมถึงนายเกรียงศักดิ์ประทีปวิศรุตผู้อำนวยการ อคส.ด้วย และในสัปดาห์นี้ จะสอบปากคำเพิ่มเติมอีกหลายราย ซึ่งในเบื้องต้น มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า มีการกระทำที่เข้าข่ายทุจริต

ส่วนการอายัดเงิน 2,000 ล้านบาท ที่อคส.ได้โอนเข้าบัญชีเงินฝากของบริษัท การ์เดียน โกลฟส์ เพื่อเป็นค่ามัดจำสินค้า จะดำเนินการได้หรือไม่ อย่างไรนั้น จะต้องรอให้ดีเอสไอ ชี้มูลความผิดกรณีดังกล่าวก่อน จากนั้น สำนักงานการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) จึงจะอายัดเงินในบัญชีได้ พร้อมกับตรวจสอบเส้นทางการเงินว่า มีการโอนย้ายถ่ายเทไปที่ไหน อย่างไร หรือมีการฟอกเงินหรือไม่ อย่างไร ซึ่งสามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินได้ทั้งหมด แต่ล่าสุด พบว่า ได้มีการถอนเงินจำนวนดังกล่าวออกจากบัญชีแล้ว หากไม่สามารถติดตามเงินดังกล่าวได้ครบทั้งหมด อาจต้องขายทอดตลาดทรัพย์สินของการ์เดียน โกลฟส์ เพื่อนำเงินมาใช้หนี้ให้กับ อคส.

นายเกรียงศักดิ์ กล่าวว่า หลังจากรับตำแหน่งผู้อำนวยการอคส.เมื่อวันที่ 10 ก.ย.63 ได้ตรวจสอบเงินในบัญชีของอคส. และพบว่า หายไป 2,000 ล้านบาท จึงได้เรียกเจ้าหน้าที่มาชี้แจง และพบว่า มีการจัดซื้อถุงมือยาง 500 ล้านกล่องๆ ละ 225 บาท รวม 112,500 บาท ซึ่งพบว่า การดำเนินการไม่เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้แก้ปัญหาเรื่องนี้ และได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อดีเอสไอ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และปปง. เพื่อให้ดำเนินการตามกฎหมายกับพ.ต.อ.รุ่งโรจน์กับพวก รวมถึงอายัดเงิน 2,000 ล้านบาท และตรวจสอบเส้นทางการเงิน

“ในช่วงเดือนส.ค.63 ก่อนที่ผมจะรับตำแหน่ง พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ ได้จัดซื้อ และทำสัญญาซื้อขายถุงมือยางจาก การ์เดียนโกลฟส์ โดยไม่ได้ดำเนินการให้เป็นไปตามพ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐพ.ศ.2560 รวมถึงกฎ ข้อบังคับและระเบียบที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังไม่นำเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการ (บอร์ด) อคส.พิจารณา แต่กลับใช้อำนาจรักษาการผู้อำนวยการอคส. สั่งการให้ดำเนินการตามสัญญา และได้สั่งจ่ายเงินให้กับบริษัทไปแล้ว 2,000 ล้านบาท ภายหลังการทำสัญญาซื้อขายเมื่อวันที่ 31 ส.ค.63 เพียง 2 วัน ซึ่งการกระทำดังกล่าว เป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริตในหน้าที่ราชการ ทำให้อคส.ได้รับความเสียหาย”

สำหรับการทำสัญญาซื้อขายครั้งนี้ รวมทั้งหมด 8 สัญญา คือ อคส.กับการ์เดียน โกลฟส์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตถุงมือยาง และอคส.กับผู้ซื้อถุงมือยางจากอคส. 7 รายนั้น ถือว่าเป็นโมฆะตั้งแต่แรก เพราะไม่ได้ดำเนินการตามระเบียบ ข้อบังคับ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐพ.ศ.2560เพราะไม่มีการเปิดประมูล เพื่อแข่งขันกันเสนอราคาขาย และซื้อจากอคส. โดยในส่วนของสัญญาที่ทำกับผู้ซื้อทั้ง 7 รายนั้น มี 5 ราย ที่อคส.ขายแบบขาดทุน เพราะมีการเสนอราคาซื้อจากอคส.เพียงกล่องละ 210-223 บาท ขณะที่อคส.ซื้อจากการ์เดียน โกลฟส์ กล่องละ 225 บาท

ทั้งนี้ผู้ซื้อทั้ง 7 รายนั้น มี 5 รายเป็นบริษัทของไทย ได้แก่ 1.บริษัท 24 คลีนเอเนอร์จี้ 2.บริษัท ไทยสไมล์เทรด 3.บริษัท เคเค.ออยล์แอนด์แก๊ส 4.บริษัท เดอะควีนเพาเวอร์ และ5.บริษัท เอเอเมทิสต์ ซึ่งในสัญญาไม่มีการระบุให้วางหลักประกันของสัญญาซื้อขาย , ไม่กำหนดส่งสินค้าเป็นงวดที่แน่นอน ,ไม่มีหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ชื้อและไม่กำหนดการสิ้นสุดแห่งสัญญา ส่วนอีก 2 บริษัทเป็นบริษัทต่างชาติ ขณะที่ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ ที่นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 14 ก.ย.ที่ผ่านมานั้น พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ ได้ไปรายงานตัวแล้วตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยได้ปฏิบัติหน้าที่ที่ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ