โบรกเตือน 'หุ้นไทย' รีบาวด์ 'ช่วงสั้น'

การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยวานนี้(26ก.ย.) ปรับตัวขึ้นแรงกว่า 18.08 จุด โดยปิดตลาดที่ระดับ 1,263.02 จุด หรือเพิ่มขึ้น 1.45% มูลค่าการซื้อขายสะพัดกว่า 41,292.84 ล้านบาท โดยหุ้นกลุ่มพลังงานและโรงไฟฟ้า เป็นกลุ่มที่มีแรงซื้อเข้ามาอย่างคึกคัก 

นายกรภัทร วรเชษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่าการดีดตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยวานนี้ เป็นการรีบาวด์หลังจากตลาดหุ้นไทยปรับฐานติดต่อกันในช่วง 6 วันที่ผ่านมา ประกอบกับมีแรงสนับสนุนจากปัจจัยเชิงบวกของตลาดต่างประเทศ หลังประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ออกมาเปิดเผยว่ายังคงมีโอกาสที่พรรค Democrat และพรรค Republican น่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงการออกมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐฯกันได้ ซึ่งถือเป็นการกระตุ้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก

ขณะที่ในส่วนของแรงหนุนในกลุ่มพลังงานและโรงไฟฟ้านั้น เบื้องต้นประเมินว่าน่าจะเป็นแรงซื้อกลับ หลังจากที่ผ่านมาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวได้รับแรงกดดันและปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามเชื่อว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังมีภาพของการฟื้นตัวที่จำกัดและดัชนีฯน่าเคลื่อนไหวในลักษณะไซด์เวย์ดาวน์ เพราะยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆมากนัก พร้อมประเมินกรอบหลังจากนี้ไว้ที่ระดับ 1,245-1,275 จุด

นายเทิดศักดิ์ ทวีธระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเชีย พลัส จำกัด กล่าวว่า การปรับขึ้นของตลาดรอบนี้เป็นเทคนิคคอลรีบาวด์ เนื่องจากช่วงปลายสัปดาห์ก่อนยังไม่มีความรุนแรงจากประเด็นเรื่องการเมืองภายในประเทศ ขณะที่ยังได้แรงหนุนจากปัจจัยในต่างประเทศหลังจากตลาดดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดีดตัวขึ้นมา รวมถึงอานิสงส์จากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าต่อเนื่อง ซึ่งทำให้เม็ดเงินบางส่วนไหลเข้ามาในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้น

ทั้งนี้ แม้ตลาดหุ้นไทยจะดีดกลับขึ้นมา แต่มองว่ายังมีข้อจำกัดอยู่ จากแรงกดดันของสถานการณ์โควิด-19 และการเมืองในประเทศที่จะมีการนัดชุมนุมใหญ่ในเดือนต.ค.นี้ ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดยังอยู่ในภาวะผันผวน ประเมินแนวรับไว้ที่ระดับ 1,250 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ระดับ 1,275-1,280 จุด

นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการสายงานวิจัยลูกค้าบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นหลังจากนี้จะฟื้นตัวขึ้นตามตลาดในต่างประเทศ หลังได้เซ็นติเม้นท์เชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยคาดว่าดัชนีฯมีโอกาสเด้งขึ้นไปถึงระดับ 1,350 จุด หรือราวระดับ 7-10% จากระดับปัจจุบัน