นายกฯ ตรวจการบ้าน EEC ลงพื้นที่แหลมฉบัง 1 ต.ค.นี้

นายกฯ ตรวจการบ้าน EEC ลงพื้นที่แหลมฉบัง 1 ต.ค.นี้

นายกฯ ลงพื้นที่ EEC วันที่ 1 ต.ค.นี้ ติดตามความคืบหน้าการลงทุนแหมฉบังเฟส 3 หารือเอกชนผลักดันการลงทุน

การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) มีความคืบหน้าหลายโครงการ โดยโครงการที่ลงนามแล้ว คือ 1.รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) 2.โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก 3.โครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3

ในขณะที่โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 อยู่ขั้นตอนเตรียมประกาศผู้ชนะประมูลการร่วมลงทุน และโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานอู่ตะเภาของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับการยืนยันว่าจะอยู่ในแผนฟื้นฟูกิจการ

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะ จะเดินทางไปยังท่าเรือแหลมฉบังในวันที่ 1 ต.ค.2563 เพื่อติดตามความคืบหน้าโครงการคมนาคมในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งในขณะนี้นายกรัฐมนตรีต้องการให้มีการเดินหน้าโครงการอย่างต่อเนื่อง

โดยการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 เป็นโครงการขนาดใหญ่ของอีอีซีที่ยังเหลืออีก 1 โครงการที่ยังรอขั้นตอนการนำรายชื่อการชนะการประมูลเข้าสู่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะไปติดตามความคืบหน้าโครงการนี้ด้วย

รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม ระบุว่า กลุ่มกิจการร่วมค้าจีพีซี เป็นผู้ที่ผ่านเข้าสู่ขั้นตอนการเจรจากับคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 โดยกิจการร่วมค้าจีพีซี ประกอบด้วยพันธมิตร 3 ราย คือ 1.บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด ในเครือ ปตท. 2.บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) 3.บริษัท China Harbour Engineering Company Limited (CHEC) จากจีน

ทั้งนี้ การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 แบ่งเป็นการลงทุนส่วนของรัฐ คือ งานก่อสร้างทางทะเล วงเงิน 21,979 ล้านบาท และงานก่อสร้างอาคาร ท่าเทียบเรือ ระบบถนน และระบบสาธรณูปโภค วงเงิน 6,502 ล้านบาท ในขณะที่การร่วมลงทุนรัฐและเอกชน ครอบคลุมลานจอด วางตู้สินค้า วางเครนยกตู้สินค้า และวางระบบการบริหารจัดการท่าเทียบเรือ

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลระบุว่า การลงพื้นที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ในวันที่ 1 ต.ค.2563 เพื่อติดตามความคืบหน้าโครงการในพื้นที่อีอีซี รวมทั้งประชุมกับนักลงทุนในพื้นที่โดยจะเน้นการหารือเรื่องการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังให้เป็นท่าเรือนานาชาติ รวมทั้งการเชื่อมโยงโครงการอีอีซีกับโครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (เอสอีซี) ในอนาคต 

สำหรับกำหนดการวันที่ 1 ต.ค.นายกรัฐมนตรีและคณะจะเดินทางไปยังท่าเรือแหลมฉบังในเวลา 9.30 น.และเข้าร่วมประชุมกับผู้บริหารท่าเรือแหลมฉบังและภาคเอกชน เพื่อหารือการใช้ประโยชน์การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังในโครงการต่างๆ ได้แก่ ท่าเรือบก (Dry Port) โดยการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เป็นผู้นำเสนอโครงการ 

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้มีการศึกษาแผนพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) นำไปสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค รวมทั้งสนับสนุนการขนส่งทางรางที่อนาคตจะเป็นระบบโลจิสติกส์หลักของประเทศที่สำคัญ เพื่อส่งเสริมการขนส่งสินค้าไปยังท่าเรือแหลมฉบังและอีอีซี โดยมีการศึกษาพื้นที่ 4 พื้นที่ ได้แก่ จ.ฉะเชิงเทรา, อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา, อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น และ อ.พยุหคีรี จ.นครสวรรค์

รวมทั้ง มีการประเมินว่าวงเงินลงทุนท่าเรือบกทั้ง 4 แห่ง คาดว่าจะอยู่ที่กว่า 1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และวางระบบ 4 แห่ง 8,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยแห่งละ 2,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะเป็นการลงทุนค่าเวนคืน และจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน โดยพื้นที่พัฒนาท่าเรือบก ประเมินความเหมาะสมเบื้องต้น จะต้องใช้พื้นที่แห่งละ 1,000–1,800 ไร่

สำหรับเป้าหมายการพัฒนาท่าเรือบก สนข.ประเมินว่าจะเป็นส่วนช่วยเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางรางเข้าสู่ท่าเรือแหลมฉบังให้มีมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนอยู่ราว 5.5% ของการขนส่งทั้งหมด จะเพิ่มขึ้นเป็น 30% ของการขนส่งทั้งหมด ภายในปี 2566 -2567 โดยหน้าที่หลักของท่าเรือบก จะตรวจปล่อยสินค้าเหมือนท่าเรือ

นอกจากนี้ สนข.จะชี้แจงบรรยายสรุปโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งในการพัฒนาโครงการอีอีซี เพื่อเชื่อมโยงกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (เอสอีซี) เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างทะเลอ่าวไทยและทะเลอันดามัน

หลังจากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ จะประชุมร่วมกับนักลงทุน ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 4 สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง โดยมีวาระการประชุมในเรื่องแนวทางการส่งเสริมการลงทุนในอีอีซีในยุค New Normal

โดยมี สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)  เข้าร่วมประชุมด้วยเพื่อให้ข้อมูลของโครงการ และนายกรัฐมนตรีให้นโยบายการพัฒนาโครงการเพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนโครงการต่อไป 

รวมทั้ง นายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ท่าเทียบเรือ C0 ท่าเรือแหลมฉบับ อ.ศรีราชา เพื่อเป็นประธานในการตรวจขบวนรถไฟฟ้าและรับมอบขบวนรถโมโนเรลสายสีเหลือง-ชมพูโครงการรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) 

ทั้งนี้ ผู้ได้สิทธิร่วมลงทุน คือ กิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ ประกอบด้วย บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และบริษัทซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) โดยให้เอกชนร่วมลงทุนเป็นเวลา 33 ปี 3 เดือน ระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี 3 เดือน และมีระยะเวลาเดินรถ 30 ปี ซึ่งรถไฟฟ้าทั้ง 2 เส้นทางจะทอยเปิดให้บริการในปี 2564