'ทองคำ' ย่อตัวหลุด 1,900 ดอลลาร์ เป็นจังหวะเก็บหรือโกย?

'ทองคำ' ย่อตัวหลุด 1,900 ดอลลาร์ เป็นจังหวะเก็บหรือโกย?

ปัจจุบัน "ราคาทอง" ที่ย่อตัวลงมาจากแรงเทขายนั้น จึงเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในทองคำมากขึ้น เนื่องจากปี 64 ตลาดมองว่าทองคำมีโอกาสที่ราคาจะสามารถยืนเหนือ 2,200 ดอลลาร์ได้ ทำให้มีความน่าสนใจและอยู่ในขาขึ้นทั้งระยะสั้นและกลาง

ราคาทองคำ เริ่มปรับตัวลงตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกันยายน 2563 เนื่องมาจากนักลงทุนผิดหวังผลประชุมเฟด ที่ไม่ได้เปิดเผยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ ขณะที่ยังคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 1.2 แสนล้านดอลลาร์/เดือน ทั้งนี้เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา และส่งสัญญาณว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยจนถึงปี 2566 อย่างไรก็ดียังได้รับแรงกดดันจากการที่ดัชนีดอลลาร์ปรับตัวขึ้น กระทบต่อมุมมองของนักลงทุนที่มองว่าราคาทองคำแพงขึ้น

ขณะที่ความคืบหน้าเกี่ยวกับการผลิตวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 จะเป็นปัจจัยกดดันทำให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์ปลอดภัย โดยขณะนี้ในสหรัฐมีบริษัทเพียง 4 แห่งที่เข้าสู่การทดลองวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 เฟส 3 ซึ่งเป็นเฟสสุดท้าย ประกอบไปด้วย โมเดอร์นา, ไฟเซอร์,แอสตร้าเซนเนก้า และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน แต่อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิเคราะห์ เอเอสแอล มองว่า อาจต้องใช้เวลานานกว่าคาด และเริ่มใช้งานได้ในช่วงปี 2564

ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์มองว่าปัจจัยที่จะกระทบต่อราคาทองคำในช่วงระยะสั้นจะเป็นช่วงเวลาก่อนการเลือกตั้งครั้งสำคัญของสหรัฐในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยมีผู้ท้าชิงตำแหน่งได้แก่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน และ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน และโจ ไบเดน ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต

เรามองเป็นบวกต่อราคาทองคำที่อาจจะทำ all time high ได้อีกครั้ง และมีโอกาสที่จะผ่านยืน 2,000 ดอลลาร์ได้ในสิ้นปีนี้ อีกทั้งยังมีประเด็นเกี่ยวกับ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันว่าจะไม่รับประกันการถ่ายโอนอำนาจหากแพ้เลือกตั้ง ซึ่งปัจจุบันทรัมป์ซึ่งมีคะแนนนิยมตามหลัง ไบเดน

นอกจากนี้ยังได้แรงหนุนทางบวกของราคาทองคำ จากภาวะอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ที่ส่งผลต่อความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรหรือเงินฝากต่างๆ ซึ่งการที่เฟดตั้งใจที่จะคงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.00-0.25% ไปถึงปี 2565 และการทำ QE แบบไม่จำกัดวงเงินนั้น จะกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์ที่จะอ่อนค่าลง ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกันในตามทฤษฎีนั่นเอง

ขณะที่ความเสี่ยงจากสงครามการค้าที่เปลี่ยนผ่านจาก Trade war มาสู่ Tech war โดยถ้าหากไบเดนชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ เขาก็จะประเมินผลของมาตรการขึ้นภาษีเหล่านี้กันอีกครั้ง แต่เรามองว่าเขาอาจจะคงการต่อสู้ทางการค้ากับจีน แต่เลือกที่จะสงบศึกทางการค้ากับชาติพันธมิตร ซึ่งต่างกับทรัมป์ ที่จะเลือกโจมตีทางการค้ากับชาติพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็น ยุโรป แคนาดา และบราซิล เป็นต้น และสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดที่อาจรุนแรงกว่าคาดจนต้องมีการ lockdown ประเทศอีกครั้ง ก็จะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาทองคำแบบเนื่องๆ

เพื่อตอบคำถามว่าในปัจจุบันที่ราคาทองที่เกิดการย่อตัวลงมา เกิดจากแรงเทขายเพื่อชิงล็อกกำไรของนักลงทุน ซึ่งเห็นจังหวะการขายจากสัญญาณการเข้ามาลงทุนในทองคำของกลุ่มกองทุนเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ราคาทองคำตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ระดับ 1,517 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 2,075 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยถือว่าสร้างกำไรแล้วกว่า 22.5% ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ที่แทบไม่เห็นมีกำไรเลย

ดังนั้นในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปีกับราคาปัจจุบัน เราแนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในทองคำ” จาก 3 ปัจจัย ได้แก่

1. การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐ ที่ตามสถิติมักมีความผันผวนอย่างมากในตลาดหุ้น

2.ภาวะเศรษฐกิจและการใช้นโยบายการเงินที่เอื้อต่อการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ 

3.ปัจจัยความไม่แน่นอนในระยะสั้น ทั้ง Tech war หรือสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นต้น

สำหรับมุมมองในปี 2564 ตลาดมองว่าทองคำมีโอกาสที่ราคาจะสามารถยืนเหนือ 2,200 ดอลลาร์ได้ ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าตลาดทองคำมีความน่าสนใจและอยู่ในขาขึ้นในระยะสั้น-กลาง