'เติร์กเมนิสถาน' ปลอดโควิด แต่ไม่รอด! พิษเศรษฐกิจ

'เติร์กเมนิสถาน' ปลอดโควิด แต่ไม่รอด! พิษเศรษฐกิจ

"เติร์กเมนิสถาน" แม้จะเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อ "โควิด-19" แต่เติร์กเมนิสถานกลับได้รับผลกระทบเศรษฐกิจไม่แพ้ประเทศไหนในโลก เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น!

โควิด-19 สะเทือนไปทั้งโลก แต่กระนั้นยังมีประเทศที่ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อ ตัวเลขล่าสุดเดือนกันยายน ประเทศที่ไม่ยืนยันมีผู้ติดเชื้อ (no confirmed COVID-19 cases) จำนวน 12 ชาติ อยู่ในภาคพื้นทวีปเอเชีย 2 ได้แก่ เกาหลีเหนื และ เติร์กเมนิสถาน ที่เหลือเป็นประเทศหมู่เกาะโซนโอเชียเนีย เช่น ตองกา หมู่เกาะโซโลมอน เป็นต้น

ถึงแม้โลกจะสงสัยว่ามีการปกปิดข้อมูลหรือไม่อย่างไรนั้น ก็เรื่องหนึ่ง เอาเป็นว่า ในเมื่อไม่มีรายงานก็ต้องเชื่อตามที่ WHO ว่า

สำหรับเติร์กเมนิสถาน เป็นประเทศใจกลางพื้นทวีปห่างไกลในเขตเอเชียกลาง ไม่เป็นเส้นทางท่องเที่ยว แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจำนวนน้อย แถมผู้คนก็อยู่ห่างไกลไม่แออัด มีรายงานว่าเมื่อเดือนกรกฎาคมทีมผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลกเดินทางไปยังเติร์กเมนิสถานเป็นเวลา 10 วัน น่าจะสืบเนื่องจากเมื่อเดือนมิถุนายน สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำกรุงอาชกาบัต เมืองหลวงของเติร์กเมนิสถานได้ออกแถลงการณ์แสดงความวิตกกังวลต่อสถานการณ์โรคระบาดที่นั่น เพราะไม่เคยได้ยินข่าวการวินิจฉัยตรวจสอบโรค หรือมาตรการกักตัวใดๆ 

เดือนถัดมา WHO ก็ตามเข้าไป ซึ่งที่สุดก็ไม่มีรายงานความผิดปกติใดๆ จากผู้เชี่ยวชาญ เอาเป็นว่า...รายงานไม่พบผู้ติดเชื้อของเติร์กเมนิสถานมีความสมเหตุสมผลน่าเชื่อถือ เพราะประเทศดังกล่าวไกลและลึกเข้าไปในทวีป มีแต่ทุ่งหญ้าเป็นส่วนใหญ่

เติร์กเมนิสถานเป็นอดีตสหภาพโซเวียต เหมือนกับประเทศที่ลงท้ายด้วย 'สถาน' อื่นๆ ละแวกนั้น สมบัติที่มีค่าที่สุดคือทรัพยากรน้ำมันและก๊าซ ระยะหลังประเทศเอเชียกลางกลุ่มนี้สนิทสนมกับจีนมากขึ้นๆ จนเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ยุทธศาสตร์ทางสายไหม’ ซึ่งที่จริงแล้วทางสายไหม One Belt One Road เกิดขึ้นมาก็พัฒนาจากทางสายไหมเดิมนั่นแหละ จีนเมื่อ 10 กว่าปีก่อนกำลังเป็นดาวรุ่งโตเร็ว กินทรัพยากรจุ ดูดวัตถุดิบและพลังงานมากจนไม่พอใช้ รัฐบาลปักกิ่งจึงต้องทำการทูตใกล้ชิดกับประเทศเอเชียกลางเพื่อการพลังงาน 

ในที่สุดก็สามารถเกิดมีข้อตกลงท่อส่งพลังงานจาก เติร์กเมนิสถาน อุซเบกิสสถาน คาซัคสถาน ฯลฯ เรียกว่า Central Asia-China Gas Pipeline ปลายทางที่ซินเกียงของจีน เส้นทางพลังงานเป็นจุดเริ่มของเส้นทางการค้าอื่น

อ้อ...ลืมเรื่องสำคัญอีกเรื่อง อาจเป็นเพราะว่าเติร์กเมนิสถานสนิทกับจีนมาก จึงไม่แปลกที่สถานทูตสหรัฐอเมริกาออกแถลงการณ์ลดทอนความน่าเชื่อถือ

นอกเหนือจากน้ำมันและก๊าซแล้ว เติร์กเมนิสถานที่สมบัติล้ำค่าอีกชนิดหนึ่ง นั่นก็คือ ม้าพันธุ์ดี ที่คนจีนเรียกว่า อาชาเหงื่อโลหิต ม้าชนิดนี้รูปร่างสูงใหญ่เปรียวแข็งแรงและเมื่อวิ่งนานๆ มีเหงื่อออกเป็นสีแดงบริเวณแผงคอ นอกจากเรียกว่า ม้าเหงื่อโลหิตแล้วยังมีเรียกว่า ‘อาชาสวรรค์’

ชาวจีนรู้จักมานานแล้วว่ามีถิ่นฐานแถบเอเชียกลาง จีนยุคถังเรียกว่า ‘ซวีอี้’ ขนาดที่จักรพรรดิสั่งให้คนไปตามหาม้าสวรรค์ดังกล่าวมาครอบครอง ในนิยายสามก๊ก ม้าเซ็กเธาว์ของลิโป้ต่อมาตกเป็นม้าของกวนอูก็ม้าเหงื่อโลหิตนี่แหละ หรือกระทั่งนิยายบู๊มังกรหยกของกิมย้ง ก็ประพันธ์ให้ก๊วยเจ๋งตอนยังเด็กอาศัยดินแดนมองโกลสามารถจับลูกม้าวิเศษกำราบมันได้ เมื่อเหงื่อออกมาเป็นสีแดง

ม้าพันธุ์ดีชนิดนี้ ภาษาเติร์ก (เจ้าถิ่นเติร์กเมนิสถาน) เรียกว่า Akhal-Tekin (อัคคาล-เทคคิน) แปลว่า ‘เลือดบริสุทธิ์’ แต่ดินแดนแถบนี้ไม่ได้มีแค่ชาวเติร์ก แต่เดิมเป็นคือดินแดนแบคเตรียส่วนหนึ่งของเปอร์เชียตะวันออก เจ้าม้าวิเศษยังมีชื่อเปอร์เชียนด้วยเรียกว่า ‘ม้าเฟอร์ยานนา’ Ferghana horse ปัจจุบันรัฐบาลเติร์กเมนิสถานสำรวจว่าเหลือเพียงประมาณ 1,200 กว่าตัว

เลยกลายเป็นสัตว์อนุรักษ์ และเป็นสัตว์ประจำชาติ

เติร์กเมนิสถานสนิทกับจีนมากขนาดที่มีการส่งเจ้าม้าเหงื่อโลหิตเป็นของขวัญให้กับ หูจิ่นเทา อดีตประธานาธิบดีจีน ม้าเหงื่อโลหิตเลยขึ้นชั้นเป็นสัตว์การทูตไปอีกชนิดแบบเดียวกับที่แพนด้าทำหน้าที่นั้นมาก่อน ความสัมพันธ์จึงต่อเนื่องมาเป็นท่อส่งก๊าซเอเชียกลางระยะทางกว่า 3 พันกิโลเมตร และเส้นทางค้า OBOR ทางสายไหมยุคใหม่

ไม่เพียงเท่านั้น ขึ้นชื่อว่า 'จีน' ต้องยอมรับในเรื่องการค้าและการทำกำไร ในที่สุดม้าเหงื่อโลหิตที่เคยเป็นสัตว์สำคัญให้กับประธานาธิบดี ก็มาเป็นการร่วมแสดงโชว์เดินสายให้ชาวจีนรู้จักม้าในตำนาน ไปๆ มาๆ มีนักธุรกิจจีนลงทุนหลายล้านหยวนตั้งฟาร์มม้าเหงื่อโลหิต นำเข้าพ่อพันธุ์แม่พันธุ์เพาะเลี้ยงขายเป็นเรื่องเป็นราว ม้าชนิดนี้เลยกลายเป็นสินค้าประดับบารมีของเศรษฐีจีนไปเรียบร้อยโรงเรียนมังกร

มีรายงานว่าเคยมีการประมูลกันราคาทะลุ 6 ล้านหยวนไปโน่น แนะนำเติร์กเมนิสถานไปไกล ขอวกกลับมาเรื่องโควิด-19 เจ้าโรคชนิดนี้ทำให้โลกเกิดเปลี่ยนแปลงใหญ่ เกิดสภาพการณ์ใหม่ๆ ที่เรียกว่า new normal ไปทั้งใบ ไม่มียกเว้นแม้เติร์กเมนิสถานจะไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อก็ตาม

กลายเป็นเติร์กเมนิสถานกำลังกระอักกับโควิด-19 ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่มีผู้ติดเชื้อ! นั่นก็เพราะว่า ประเทศจีนอ้างว่าเกิดผลกระทบจากโรคระบาดเมื่อเดือนมีนาคม 2563 ที่ผ่านมาได้ทำหนังสือแจ้งขอรับซื้อก๊าซธรรมชาติน้อยลงกว่าปกติ ระหว่าง 20-25 เปอร์เซ็นต์จากเดิม มีผลต่อประเทศผู้ผลิตอย่างอุซเบกิสถาน คาซัคสถาน โดยเฉพาะ 'เติร์กเมนิสถาน' อย่างจัง

รายได้สำคัญของเติร์กเมนิสถานก็คือส่งออกพลังงานให้กับจีน คิดเป็นสัดส่วน 34 เปอร์เซ็นต์ของการผลิตทั้งหมด รัฐบาลแสดงความกังวลขอให้มาตรการลดการนำเข้าดังกล่าวเป็นแค่ชั่วคราว หากยืดเยื้อจะกระทบต่อเศรษฐกิจ

กรณีของเติร์กเมนิสถานบอกเราว่า ผลกระทบด้านเศรษฐกิจจากโควิด-19 ที่แผ่ไปทั่วโลก กำลังเป็นปัญหาหนักหนาสาหัสร่วมกันของโลกทั้งใบ ต่อให้ประเทศที่ไม่เจอผู้ติดเชื้อเลยก็ไม่มียกเว้น 

ต้องบันทึกไว้ว่า ในต้นศตวรรษที่ 21 ปัญหาเศรษฐกิจมหภาคของโลกไม่สามารถแก้ได้สำเร็จเด็ดขาดด้วยทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ใดๆ