'นายหญิง' รีแบรนด์เพื่อไทย ถอยฉาก 'ม็อบ 3 นิ้ว'

'นายหญิง' รีแบรนด์เพื่อไทย ถอยฉาก 'ม็อบ 3 นิ้ว'

การเปลี่ยนแปลงในพรรคเพื่อไทย ล้วนมีเหตุและปัจจัยทั้งสิ้น แน่นอนว่าการชุมนุมเคลื่อนไหวนอกสภาอันร้อนแรง เป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นแบบฉับพลัน

ถึงคราวที่ "พรรคเพื่อไทย" ต้องระส่ำกันอีกหน อันเนื่องจากสถานการณ์ทางการเมือง การเคลื่อนไหวของมวลชนบนท้องถนน เป็นจังหวะเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญของพรรคเกิดขึ้น

สัญญาณที่ชัดเจนคือการปรากฎตัวของ "นายหญิง" ซึ่งเป็นหลังบ้าน "นายใหญ่" จนคอการเมืองต่างจับจ้องว่าต้องการส่งสัญญาณบางอย่าง โดยเฉพาะประเด็นการเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมที่หมิ่นเหม่ ทำให้ "นายหญิง" ต้องออกตัว เพื่อไม่ให้ "เพื่อไทย" ถูกโยงว่า คอยเป็นพี่เลี้ยง ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับม็อบที่ชุมนุมขับไล่รัฐบาล ซึ่งมาพร้อมข้อเรียกร้องในการปฏิรูปสถาบันอย่างเข้มข้น

แม้จะมีบางส่วนในพรรคแอบเอาใจช่วยอยู่ห่างๆ แต่จำนวนไม่น้อย ก็ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการเคลื่อนไหวดังกล่าว การปราศรัยของแกนนำผู้ชุมนุมในหลายโอกาส ก็ทะลุเพดานไปมากจนหลายฝ่ายเสียวสันหลัง งานนี้ "นายหญิง" จึงต้องแอ็คชั่น เพราะมองว่าถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ ไม่เป็นผลดีกับพรรค เลยเหมือนไฟต์บังคับให้ต้องพลิกเกมเซ็ตทุกอย่างใหม่หมด และต้องฉีกตัวให้ออกห่างจากม็อบดังกล่าว และประเด็นล่อแหลมทั้งปวงโดยเร็วที่สุด

หากจำกันได้ การชุมนุม 19-20 ก.ย.2563 ที่ผ่านมา มีกระแสข่าวหนาหูว่า "เจ๊เท" ไม่ขนมวลชนมาเติมม็อบ จึงอาจได้รับสัญญาณบางอย่าง จนแตะเบรกดังเอี๊ยดนาทีสุดท้าย จนได้เห็นการถอยทัพของ "หญิงหน่อย" และ "สมพงษ์ อมรวิวัฒน์" ที่ลาออกจากหัวหน้าพรรค แบบรวดเร็วปานสายฟ้าแล่บ

ว่ากันว่า มีใบสั่งจากเจ้าของพรรคตัวจริง ถึงไม่มีใครกล้าออกมาหืออือ นั่นก็เพื่อ จะเริ่มนับหนึ่งรีแบรนด์พรรคเพื่อไทย ตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ขึ้นมาสลัดภาพ และข้อครหา หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับสถาบันเบื้องสูงทั้งปวง

พร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงในพรรคเพื่อไทยเวลานี้ ล้วนมีเหตุผลอื่นสนับสนุนอีกพอสมควรตั้งแต่บทบาทการเป็นแถวสองของฝ่ายค้าน ทั้งในและนอกสภาของเพื่อไทย การเลือกตั้งซ่อมหลายสนามที่แพ้ติดต่อกัน บางสนามก็ถอนตัว หรือไม่ส่งผู้สมัครเสียอย่างนั้น

รวมถึงการเตรียมพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งท้องถิ่น โดยเฉพาะ "สนาม อบจ." และ "ผู้ว่าฯ กทม." ที่ดูเหมือนยังไม่มีความพร้อมเท่าที่ควร ภายใต้การนำของ "ทีมยุทธศาสตร์" ชุดที่เพิ่งลาออกไปต่างจาก "พรรคก้าวไกล" และ "คณะก้าวหน้า" คู่แข่ง ที่เป็นฝ่ายค้านด้วยกัน

เมื่อหลายปัจจัยบวกรวมกัน จึงเป็นจังหวะที่ "นายหญิง" ต้องตัดสินใจ ก่อนที่อะไรๆ จะสายเกินไป จนกลับตัวไม่ทัน

นอกจากนั้น ทิศทางหลังจากนี้ ภายใต้การคุมบังเหียนของเจ้าของพรรคตัวจริง จะพาพรรคขับเคลื่อนต่อไปอย่างไร เพราะก่อนหน้านี้เคยมีกระแสข่าวการจับขั้วตั้งรัฐบาลกับ "พรรคแกนนำรัฐบาล" พรรคหนึ่งมาแล้ว ว่ากันว่า เงื่อนไขก็คือลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ "นายใหญ่" พ้นบ่วงคดีนั่นเอง แล้ว "ดีล" ดังกล่าวจะเป็นอย่างไร

ต่อไป มีแต่ "นายหญิง" เท่านั้นที่ให้คำตอบได้ดีที่สุด