'นายกฯญี่ปุ่น'ย้ำร่วมมือชาติกำลังพัฒนาสู้โควิด

'นายกฯญี่ปุ่น'ย้ำร่วมมือชาติกำลังพัฒนาสู้โควิด

นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ประกาศให้ความสำคัญต่อการร่วมมือกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา อาทิ อาเซียน เพื่อจัดการกับการระบาดของโรคโควิด-19 หลังเปิดประเทศ ให้ชาวต่างชาติที่มีวีซ่าระยะยาวเข้าประเทศได้ ตั้งแต่ 1 ต.ค.เป็นต้นไป

การประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ( ยูเอ็นจีเอ ) ได้เผยแพร่คลิปบันทึกการแถลงของนายกรัฐมนตรีโยชิฮิเดะ ซูกะ ผู้นำญี่ปุ่น มีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ถือเป็น วิกฤติด้านความปลอดภัย ที่คุกคามการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในทุกด้าน แต่ประชาคมโลกสามารถพลิกวิกฤตินี้ ให้กลายเป็นโอกาสของการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันได้

ในส่วนของญี่ปุ่น ซูกะ กล่าวว่ารัฐบาลมอบความสนับสนุนอย่างเต็มที่ให้กับโครงการพัฒนาแนวทางการรักษาโรคดังกล่าว ตลอดจนการคิดค้นวัคซีนป้องกัน และแนวทางอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยให้การตอบสนองต่อโรคนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้ทุกคนบนโลกสามารถเข้าถึงกระบวนการทั้งหมดได้อย่างเท่าเทียม

แต่ผู้นำญี่ปุ่นก็มีความเห็นว่า โลกต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับโรคระบาดชนิดใหม่ที่อาจเกิดขึ้นอีกหลังจากนี้ โดยรัฐบาลโตเกียวขยายความร่วมมือในเรื่องนี้กับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ยกตัวอย่างโครงการร่วมมือกับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ( อาเซียน ) เพื่อจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการร่วมด้านสาธารณสุขและโรคติดต่ออุบัติใหม่ระดับภูมิภาค ความร่วมมือดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกองทุนสนับสนุนสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศมูลค่า 400,000 ล้านเยน

ขณะเดียวกัน ซูกะ ยืนยันความพร้อมระดับสูงสุด ของทุกภาคส่วนในญี่ปุ่น สำหรับการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อน “โตเกียวเกมส์” ที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ตามกำหนดการในปีนี้ เนื่องจากวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 โดยผู้นำญี่ปุ่นยืนยันการให้ความสำคัญสูงสุด กับความปลอดภัยด้านสาธารณสุขให้กับนักกีฬา และทีมงานของทุกประเทศ

นอกจากนี้ ผู้นำญี่ปุ่นยังกล่าวถึงประเด็นความมั่นคงในภูมิภาค โดยเฉพาะการยินดีพบและหารือกับนายคิม จอง-อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ โดยไม่มีเงื่อนไขล่วงหน้า เพื่อเจรจาเรื่องชาวญี่ปุ่นถูกลักพาตัวไปในเกาหลีเหนือ ซึ่งเรื่องนี้เป็นหนึ่งในเป้าหมายของอดีตนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ

ขณะเดียวกัน สำนักข่าวเกียวโดรายงานโดยอ้างการเปิดเผยของแหล่งข่าวว่า ญี่ปุ่นจะจัดทำแบบสอบถามด้านสุขภาพในระบบออนไลน์ เพื่อให้ผู้เดินทางกรอกข้อมูลก่อนเข้าประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อร่นระยะเวลาของกระบวนการควบคุมการเข้าเมือง

ญี่ปุ่นจะทดลองใช้แบบสอบถามออนไลน์เร็วๆ นี้สำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศที่เดินทางมาถึงสนามบินนาริตะใกล้กรุงโตเกียว โดยแบบสอบถามดังกล่าวจะสามารถตรวจสอบผู้เดินทางซึ่งอาจมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อโควิด-19 โดยปัจจุบันมีการส่งแบบสอบถามให้นักเดินทางกรอกข้อมูลบนเที่ยวบินขาเข้าแล้ว

แหล่งข่าว ระบุว่า ระบบแบบสอบถามออนไลน์จะเปิดใช้เป็นวงกว้างมากขึ้นในปลายปีนี้ โดยผู้โดยสารที่จะเดินทางไปญี่ปุ่นสามารถตอบแบบสอบถามโดยเข้าไปที่เว็บไซต์เฉพาะของกระทรวงสาธารณสุข, แรงงานและสวัสดิการของญี่ปุ่นได้ก่อนออกเดินทาง และจะได้รับคิวอาร์โค้ดที่จะยืนยันว่าได้เสร็จสิ้นกระบวนการตอบแบบสอบถามแล้วเมื่อเดินทางถึงญี่ปุ่น

รัฐบาลญี่ปุ่นจะเริ่มเปิดประเทศให้กับชาวต่างชาติ ซึ่งได้รับวีซ่าระยะยาวตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้เป็นต้นไป โดยชาวต่างชาติที่มีวีซ่าสามารถเดินทางเข้าญี่ปุ่นได้ อาทิ นักศึกษาต่างชาติ แต่ยังไม่รวมนักท่องเที่ยว

นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นจะจำกัดจำนวนชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าประเทศได้ไม่เกินวันละ 1,000 คน และจะเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ที่สนามบินด้วย

ด้าน“ซูโตชิ นิชิมูระ” รัฐมนตรีเศรษฐกิจ กล่าวว่า รัฐบาลจะเจรจากับประเทศต่างๆแบบทวิภาคีเกี่ยวกับเงื่อนไขในการเปิดประเทศ

“สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะเปิดประเทศให้แก่หลายๆประเทศพร้อมกัน แต่เราจะทำการเจรจากับแต่ละประเทศ” นายนิชิมูระ กล่าว

ปัจจุบัน รัฐบาลญี่ปุ่นห้ามไม่ให้พลเมืองจาก 159 ประเทศและภูมิภาคเดินทางเข้าประเทศ โดยหากพบว่าชาวต่างชาติที่ต้องการเดินทางเข้าญี่ปุ่นเคยเดินทางไปยังประเทศและภูมิภาคดังกล่าวภายในระยะเวลา 14 วัน รัฐบาลญี่ปุ่นก็จะปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศ

ด้านสมาคมเครือข่ายร้านค้าของญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ยอดขายในซูเปอร์มาร์เก็ตของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 3.3% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้แรงหนุนจากยอดจำหน่ายอาหาร เนื่องจากประชาชนยังคงรับประทานอาหารที่บ้านจากการระบาดของโควิด-19

ยอดขายดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่สี่ติดต่อกัน โดยยอดขายอาหารเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.8% ส่วนยอดขายเสื้อผ้าลดลง 16.3% เนื่องจากผู้คนหลีกเลี่ยงการเดินทางและทำงานอยู่บ้าน นอกจากนี้ ยังยกเลิกการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น เทศกาลประจำฤดูร้อน

ขณะที่นายแพทย์ไมค์ ไรอัน ประธานโครงการฉุกเฉินด้านสาธารณสุขขององค์การอนามัยโลก ( ดับเบิลยูเอชโอ ) แถลงเมื่อวันศุกร์ เกี่ยวกับสถานการณ์โรคโควิด-19 ในรอบ 24 ชั่วโมงล่าสุดตามสถิติของดับเบิลยูเอชโอ ยืนยันผู้ป่วยใหม่ 303,005 คน เพิ่มสถิติผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกเป็นอย่างน้อย 32,110,656 คน โดยมากกว่า 20% ของผู้ป่วยสะสมอยู่ในสหรัฐ

สถิติสะสมของผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ทั่วโลกตามฐานข้อมูลของดับเบิลยูเอชโอมีอย่างน้อย 980,031 คน เพิ่มขึ้น 6,316 คนในรอบวันที่ผ่านมา โดยในรอบ 24 ชั่วโมงล่าสุด อินเดียมีผู้เสียชีวิตมากที่สุด 1,411 คน ตามด้วยสหรัฐ 1,125 คน บราซิล 869 คน เม็กซิโก 601 คน อาร์เจนตินา 424 คน เปรู 302 คน โคลอมเบีย 176 คน อิหร่าน 175 คน อินโดนีเซีย 128 คน และชิลี 124 คน

อย่างไรก็ตาม นพ.ไรอัน กล่าวว่าภายในเวลาประมาณ 9 เดือนเท่านั้น หรือนับตั้งแต่จีนยืนยันผู้ป่วยคนแรกเมื่อปลายเดือนธ.ค. ปีที่แล้ว เชื้อโรคตัวนี้เดินหน้าคร่าชีวิตประชาชนบนโลกเกือบ 1 ล้านคน และยังไม่มีท่าทีว่าจะบรรเทา หากยังไม่มีมาตรการควบคุมอย่างจริงจังในระยะยาว หรือเมื่อเทียบกับแนวโน้มของช่วงเวลาจนกว่าจะมีวัคซีนตัวแรกที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง และทุกคนบนโลกสามารถเข้าถึงได้นั้น ผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 อาจเพิ่มเป็นมากถึง 2 ล้านคน

ในส่วนของความร่วมมือระหว่างประเทศในการจัดสรรวัคซีนภายใต้ชื่อโคแวกซ์ นายแพทย์บรูซ เอลวาร์ด ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาของดับเบิลยูเอชโอ กล่าวว่า ทางหน่วยงานยังคงเจรจาให้จีนเข้าร่วม ขณะที่ไต้หวัน ลงนามเข้าร่วมเป็นพันธมิตรแล้ว แม้ยังไม่ได้เป็นสมาชิกของดับเบิลยูเอชโอก็ตาม ทำให้จำนวนภาคีของโครงการโคแวกซ์เพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 159 ประเทศและดินแดน และอีก 34 แห่งกำลังตัดสินใจ ส่วนสหรัฐยืนยันว่าจะไม่เข้าร่วม