‘ทองคำ’ พักฐานช่วงสั้น สิ้นปีมีลุ้น ‘2พันดอลลาร์’

‘ทองคำ’ พักฐานช่วงสั้น  สิ้นปีมีลุ้น ‘2พันดอลลาร์’

สถานการณ์การลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ นับตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาเรียกว่าผันผวนค่อนข้างมาก ทั้งตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงแรง

รวมถึงราคาทองคำที่อ่อนตัวลงมาตั้งแต่วันที่ 21-24ก.ย.2563 ถึงกว่า 100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากระดับ 1,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มาอยู่ที่ระดับปัจจุบันที่บริเวณ 1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ขณะที่กูรูด้านทองคำอย่าง “พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) เปิดเผยภายในงานสัมมนา “เจาะกลยุทธ์การลงทุนหุ้น ทองคำ ตราสารหนี้ กองทุน ในช่วง Covid-19” ที่จัดขึ้นโดยสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ว่า สถานการณ์ราคาทองคำในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาเชื่อว่าเกิดจากแรงเทขายเพื่อชิงล็อกกำไรของนักลงทุน ซึ่งเห็นจังหวะการขายจากสัญญาณการเข้ามาลงทุนในทองคำของกลุ่มกองทุนเพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ราคาทองคำตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ระดับ 1,517 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 2,075 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยถือว่าสร้างกำไรแล้วกว่า 22.5% ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆที่แทบไม่เห็นมีกำไรเลย 

“ปกติแล้วคนที่ลงทุนทองคำจะรู้ว่าหากราคาหุ้นตก ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้น แต่ปีนี้กลับผิดไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง เพราะคนที่ลงทุนทองคำนั้นนอกจากเป็นนักลงทุนรายย่อยแล้วยังมีกองทุนขนาดใหญ่ที่เริ่มกระจายพอร์ตมาลงทุนในทองคำ จึงเหตุที่ทำให้เกิดภาวะที่หุ้นตกและราคาทองคำก็ถูกเทขายตามด้วย เพราะนักลงทุนมักเอากำไรที่อยู่ในทองมาคัฟเวอร์ชอร์ตมาร์จินของตัวหุ้น และเป็นที่มาว่าปีนี้เห็นราคาทองคำตกแรงๆพร้อมกับตลาดหุ้น"

แนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในช่วงที่เหลือของปีนี้นั้น นักวิเคราะห์หลายคนประเมินว่าราคาทองคำจะกลับไปอยู่ที่ระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในช่วงไตรมาส 4/2563 เนื่องจากปกติแล้วในช่วงที่เหลือหลังจากนี้มักจะต้องมีแรงซื้อจากทางประเทศอินเดียและจีนในช่วงเทศกาลที่สำคัญ ส่วนในปี 2564 จะอยู่ที่ระดับ 2,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์

โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำได้แก่ การผ่อนคลายนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางและการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีน รวมถึงการเลือกตั้งสหรัฐฯ ขณะที่ปัจจัยที่มีผลกดดันต่อราคาทองคำ ได้แก่ ความคืบหน้าของการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ประกอบกับเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐหรือแรงขายทำกำไรทางเทคนิค รวมถึงแรงขายที่จะมาจากการชดเชยของผลขาดทุนจากการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ

ด้าน “ธาดา พฤฒิธาดา” กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่า ในส่วนของตลาดตราสารหนี้ไทย มองว่า ปัจจุบันดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาลยังคงอยู่ในระดับต่ำค่อนข้างมาก และคาดว่าภาครัฐจะมีการกู้เงินกว่า 1.1-1.2 ล้านล้านบาทในช่วงสิ้นปีนี้ถึงปีหน้า ซึ่งจะส่งผลให้มีการกระจายการกู้เงินออกไปในหลายรูปแบบทั้งการกู้เงินจากต่างประเทศ รวมถึงการออกพันธบัตรออมทรัพย์ จึงอยากให้ผู้ลงทุนพิจารณาการลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์มากขึ้นเรื่อยๆ 

ส่วนหุ้นกู้ภาคเอกชน มีผู้ออกหุ้นกู้ในอันดับเครดิตเรทติ้งที่ระดับ A- กันจำนวนมากขึ้น รวมถึงภายหลังการเกิดสถานการณ์โควิด-19 ทำให้มีการเสนอหุ้นกู้แก่ประชาชนทั่วไปกันมากขึ้น ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีที่นักลงทุนทั่วไปจะเข้าถึงการลงทุนในหุ้นกู้ จากเดิมที่เน้นขายนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่เป็นหลัก

ส่วนด้าน “ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด มองว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา และคาดว่าจะไม่ลดต่ำไปกว่าระดับ 900-1,000 จุด เหมือนในช่วงเดือนมี.ค.2563แล้ว โดยประเมินว่าช่วงหลังจากนี้ดัชนีฯก็น่าจะทรงตัวอยู่แถวบริเวณ 1,200 จุด

อย่างไรก็ตามมองว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงสิ้นปี 2563 ถึงต้นไตรมาส 1ปี 2564 มีแนวโน้มอัพไซด์ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น ประกอบกับในช่วงสิ้นปีจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐมีความผันผวนและทำให้มีโอกาสที่กระแสเงินทุนต่างชาติจะไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่รวมถึงประเทศไทยด้วย