ไล่บี้ 'คดีบอส' จี้องค์กรสอบสวน ตร.ประสานหมายจับ

ไล่บี้ 'คดีบอส' จี้องค์กรสอบสวน ตร.ประสานหมายจับ

“วิชา” ขู่องค์กรสอบสวนคดี “บอส อยู่วิทยา” อยู่ยาก หากไม่สอบ-เมินเฉย ชี้ประชาชนจับตาผลสอบสวน เผย ป.ป.ช.-ดีเอสไอ หัวเรือใหญ่สาวคดี ตำรวจประสานอินเตอร์โพล ออกหมายแดงจับตัวมาดำเนินคดีในไทย

วานนี้ (23 ก.ย.) นายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ที่ได้พิจารณากรณีที่อัยการสั่งไม่ฟ้องคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ที่ขับรถชนตำรวจเสียชีวิต ปี 2555 ให้สัมภาษณ์ถึงการติดตามความคืบหน้า ภายหลังที่คณะกรรมการได้ส่งรายงานฉบับสมบูรณ์ให้นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้มีการมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เป็นผู้ประสานงาน และส่งต่อข้อมูลให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิด

นายวิชา กล่าวว่า คณะกรรมการได้ส่งรายงานข้อมูลทั้งหมดไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยมากเป็นข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ที่เป็นหน่วยงานรับผิดชอบไต่สวนทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยจะเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบหลักของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับคดี และกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เป็นหน่วยงานหลักที่จะสอบสวนคดี ในส่วนที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัยพยานผู้เชี่ยวชาญด้านความเร็วรถ นอกจากนี้ ได้ส่งรายงานไปยังคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) และสภาทนายความ เพื่อนำหลักฐานไปตรวจสอบด้วย

“รายละเอียดในรายงานมีตั้งต้นจนถึงขั้นตอนสั่งไม่ฟ้อง บอกไว้ว่าใครบ้างที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เหมือนการชี้เบาะแสเริ่มต้นให้ มีข้อมูล มีหลักฐานให้หน่วยงานที่รับผิดชอบนำไปเพื่อสืบสวนต่อได้เลย” นายวิชา กล่าว

นายวิชากล่าวต่อว่า ส่วนหน่วยงานที่ต้องเป็นคนดูแลเร่งรัด ต้องเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้มอบหมายให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นคนรับผิดชอบติดตาม ได้รับทราบว่า เมื่อวันที่ 22 ก.ย.2563 มีการพบกับ ป.ป.ท. เพื่อรายงานความคืบหน้าครบ 7 วัน และจะมีรายงานครั้งต่อไปอีกทุก 7 วัน

สำหรับการดำเนินการตรวจสอบนายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด ที่เป็นผู้ลงนามในคำสั่งไม่ฟ้องนั้น เรื่องนี้คณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) ต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้องในกรณีดังกล่าว ก็เพิ่งได้ทราบมาว่า ก.อ.ไม่มีระเบียบสอบสวนทางวินัย อัยการสูงสุดและรองอัยการสูงสุด เพิ่งจะมีเมื่อตอนเกิดเรื่องคดีบอสนี้ ในการสอบสวนของนั้นก็สุดแล้วแต่ ก.อ.จะพิจารณา ทางวินัยและจริยธรรม ป.ป.ช.ก็ต้องตรวจสอบเรื่องนี้ ถ้าพบว่าผิดก็ต้องส่งไปยังศาลพิจารณาเหมือนกัน

เมื่อถามว่า รายงานการตรวจสอบเรื่องนี้จะสูญเปล่าหรือไม่ นายวิชา “ผลสอบที่ผ่านมาจะไม่สูญเปล่า คดีความนี้เป็นคดีประวัติศาสตร์ ข้อมูลถึงเปิดเผย อย่างเช่น สำนักข่าวอิศราได้ข้อมูลแล้วเปิดเผยสู่สาธารณชนแล้ว ประชาชนเห็นแล้วว่าเป็นอย่างไร ถ้าไม่มีการสอบสวน หรือเพิกเฉย องค์กรนั้นก็จะลำบาก อยู่ได้ยาก เหล่านี้ก็จะเป็นตัวเร่งให้เกิดการปฏิรูปองค์กร”

นายวิชากล่าวไปว่า ในส่วนของกฎหมายปฏิรูปที่กำลังจะเข้าสู่ขั้นตอนพิจารณาของสภา ตนเห็นด้วยกับร่างกฎหมายต้นทาง ของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ แต่ร่างกฎหมายดังกล่าวได้มีการเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากว่าร่างต้นทาง หน่วยสืบสวนสอบสวน จะแยกออกเป็นอิสระ ผู้บังคับบัญชาจะไม่สามารถสั่งหน่วยงานที่ได้ แต่ร่างกฎหมายใหม่ไม่เป็นไปตามนี้ ควรให้อิสระหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนสอบสวน

“คณะกรรมการได้ลงมติเห็นด้วยกับร่างกฎหมายของนายมีชัย และกำลังทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อยืนยันว่าร่างดังกล่าวจะช่วยปฏิรูปตำรวจได้ แม้ว่าจะผ่านขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรีแล้ว แต่ก็จะขอให้แนบร่างเดิมเข้าไปด้วยในการเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภา” นายวิชา กล่าว

ด้าน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับนายวรยุทธว่า ได้รับรายงานจาก สน.ทองหล่อว่า วันที่ 23 ก.ย. พนักงานสอบสวนได้รับหนังสือจากสำนักงานอัยการสูงสุด แจ้งคำสั่งฟ้องนายวรยุทธ ในข้อหาความผิดฐาน “ ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ถึงแก่ความตายและ เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน) โดยผิดกฎหมาย” พร้อมให้ติดตามตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมาย

โดยก่อนหน้านี้ ศาลอาญากรุงเทพใต้ อนุมัติหมายจับนายวรยุทธ ในข้อหา “ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถผู้อื่นเสียหาย มีผู้ถึงแก่ความตายฯ และเสพยาเสพติด(โคคาอีน)” อายุความ 15 ปี

ซึ่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ได้มีหนังสือแจ้งไปยัง กองทะเบียนประวัติอาชญากรและสำนักงานตำรวจคนเข้าเมือง เพื่อดำเนินการประกาศสืบจับและเฝ้าระวัง ติดตามข้อมูล ในระบบการเดินทางเข้า - ออกประเทศไทย อย่างเข้มงวด

หลังจากนี้ พนักงานสอบสวน จะมีหนังสือไปยังกองการต่างประเทศ เพื่อที่จะประสานไปยัง องค์การตำรวจสากล (อินเตอร์โพล) ดำเนินการประกาศตำรวจสากลสีแดง ให้ติดตามตัวนายวรยุทธฯ มาดำเนินคดีตามกฎหมาย ภายในอายุความ พร้อมระบุที่หมาย ที่ปรากฏโดยจะแจ้งไปยังประเทศสมาชิกองค์การตำรวจสากล ทั้ง 194 ประเทศ เพื่อให้ทราบว่าบุคคลดังกล่าว เป็นบุคคลที่ทางการไทย ต้องการตัวกลับมาดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของไทยต่อไป