WHA เมินโควิด ทุ่มหมื่นล้านลงทุนปี64

WHA เมินโควิด ทุ่มหมื่นล้านลงทุนปี64

ดับบลิวเอช เผย โควิด-19 ฉุดทำรายได้ปี63ใกล้เคียงปีก่อนคาดแตะ 1 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงปีก่อน ส่วนในปี 2564 มั่นใจรายได้โตตัวเลข 2 หลัก เล็งลงทุนเพิ่ม 1 หมื่นล้านบาท พร้อมเจรจาเวียดนามเปิดนิคมฯ แห่งที่ 2 บนพื้นที่ 2 หมื่นไร่ ตั้งนิคมฯแห่งใหม่ในระยองอีก

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยว่า จากการประเมินผลประกอบการปีนี้ บริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 อยู่พอสมควรจากเดิมตั้งเป้ารายได้ทั้งกลุ่มจะขยายตัว 15% แต่คาดว่าในปีนี้รายได้ลดลงเหลือใกล้เคียงกับปีก่อนอยู่ในระดับ 1 หมื่นล้าน เนื่องจากนักลงทุนไม่สามารถเดินทางเข้ามาเจรจาธุรกิจได้ 

ส่วนในปี 2564 คาดว่ายอดขายรวมทั้งกลุ่มดับบลิวเอชเอ จะเติบโตในระดับ 2 หลัก เพราะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกในปีนี้ได้หดตัวลงมาก รวมทั้งในปีหน้าจะมีการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้นกว่าปีนี้อย่างแน่นอน

โดยในส่วนธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 มียอดขายที่ดินแล้ว 109 ไร่ และมีหนังสือแสดงเจตจำนง หรือ LOI จากลูกค้าจำนวน 385 ไร่ ซึ่งคาดจะลงนามเซ็นสัญญาซื้อขายได้ภายในปีนี้ ทำให้2563 คาดว่าจะมียอดขาย 900 ไร่ แบ่งเป็นนิคมฯในประเทศไทย 600 ไร่ และนิคมฯในประเทศเวียดนาม 300 ไร่ ลดลงจากเดิมที่ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 1,400 ไร่ ซึ่งหากในช่วงปลายปีนี้รัฐบาลเปิดให้นักลงทุนเข้ามาเจรจาธุรกิจได้ ก็มั่นใจว่าจะถึง 900 ไร่อย่างแน่นอน แต่หากยังไม่เปิดให้ชาวต่างชาติเข้าประเทศ ก็คาดว่ายอดขายอาจจะลดลง 200 – 300 ไร่ เหลือประมาณ 600 – 700 ไร่ ในปีนี้

อย่างไรก็ตาม ยังคงมั่นใจว่าธุรกิจนิคมฯ ในปี 2564 จะยังคงเติบโตได้ดี คาดว่าจะมียอดขายเกิน 1 พันไร่ เพราะยอดขายที่ลดลงไม่ได้มาจากความต้องการซื้อที่ดินของนักลงทุนลดลง แต่เกิดจากไม่สามารถเดินทางเข้ามาลงนามซื้อที่ดินได้ เนื่องจากปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแม้ว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะเกิดการเปลี่ยนแปลงผู้นำ รวมทั้งแรงกดดันจากโควิด-19 ทำให้ซัพพลายเชนของโลกเปลี่ยนไป จะมีการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนไปยังประเทศอื่นๆโดยเฉพาะอาเซียน ซึ่งส่วนใหญ่จะมาประเทศไทยกับเวียดนาม ซึ่งดับบลิวเอชเอ มีนิคมฯรองรับทั้ง 2 ประเทศอยู่แล้ว และถึงแม้ว่าจะไม่มีเหตุการณ์ใดๆ โรงงานในจีนก็จะต้องขยายฐานหรือย้ายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศ เพราะต้นทุนการผลิตในจีนสูงขึ้นเรื่อย ๆ

จี้รัฐเปิดนักลงทุนเข้าประเทศ

“อยากให้รัฐพิจารณาเปิดให้นักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาเจรจาธุรกิจในไทยได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการลงทุนภายในประเทศและเกิดการจ้างงานเป็นจำนวนมาก โดยนักลงทุน 1 ราย เข้ามาตั้งโรงงานผลิตจะเกิดเม็ดเงินลงทุนกว่า 1 พันล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับการเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาจะต้องมีจำนวนมากเท่าไรจึงจะได้ 1 พันล้านบาท รวมทั้งนักลงทุนเหล่านี้จะเข้ามาช่วงสั้น ๆ ไม่กี่วัน และอยู่ในพื้นที่ที่ควบคุมได้ง่ายกว่า ซึ่งนักลงทุนและภาคเอกชนก็พร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการควบคุมอย่างเข้มงวด”

นอกจากนี้ ดับบลิวเอชเอ ยังมีแผนที่จะขยายการลงทุนในประเทศเวียดนามตั้งนิคมฯ แห่งที่ 2 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา โดยนิคมฯแห่งนี้จะตั้งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงฮานอย มีพื้นที่ประมาณ 2 หมื่นไร่ ซึ่งรัฐบาลเวียดนามได้ยกที่ดินให้พัฒนา ทำให้ใช้เงินลงทุนไม่มากนัก มีเพียงการลงทุนด้านสาธารณูปโภคต่างๆ ทั้งนี้หากโควิด-19 คลี่คลายเปิดประเทศ ก็จะเดินทางไปเจรจาที่ประเทศเวียดนามเพื่อเจรจาในรายละเอียดต่าง ๆ

โดยในขณะนี้ ดับบลิวเอชเอ มีนิคมฯ ที่ประเทศเวียดนามแล้ว 1 แห่ง ตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ด็องนัม มีพื้นที่ประมาณ 2 หมื่นไร่ แบ่งการพัฒนาออกเป็น 7 เฟส โดยจะพัฒนาในเฟสแรก 3,200 ไร่ และได้พัฒนาพร้อมขายแล้ว 1 พันไร่

ส่วนงบลงทุนในปี 2563 ได้ปรับลดลงเหลือ 3.5 พันล้านบาท ลดลงจากเดิมที่ตั้งไว้ที่ 9 พันล้านบาท ส่วนในปี 2564 คาดว่าจะใช้งบลงทุน 1 หมื่นล้านบาท ใช้ในการลงทุน 4 กลุ่มธุรกิจ โดยธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจนิคมฯ ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน ธุรกิจละ 3 พันล้านบาท ส่วนธุรกิจดิจิทัล แพลตฟอร์ม จะใช้เงินไม่มากประมาณ 1 พันล้านบาท โดยการลงทุนหลัก ๆ เช่น การตั้งนิคมฯแห่งใหม่ในจังหวัดระยอง มีพื้นที่ 2 พันไร่ การลงทุนในธุรกิจน้ำ และพลังงานในเวียดนาม การลงทุนขยายพื้นที่คลังสินค้าในพื้นที่บางนาตราด เป็นต้น

ปีนี้ธุรกิจโตต่อทุกกลุ่ม

นางสาวจรีพร กล่าวว่า สำหรับภาพรวมของธุรกิจของดับบลิวเอชเอในปีนี้ ในส่วนของธุรกิจโลจิสติกส์ ในครึ่งปีแรกของปี 2563:มีพื้นที่คลังสินค้าภายใต้การถือครองและบริหารรวม 2.45 ล้านตารางเมตร ซึ่งรวมถึงพื้นที่ให้เช่าและพื้นที่ที่ตกลงกับผู้เช่าล่วงหน้า 1 แสนตารางเมตร ส่วนคาดการณ์ภาพรวมทั้งปี 2563 พื้นที่คลังสินค้าภายใต้การถือครองและบริหารรวมเพิ่มขึ้นเป็น 2.56 ล้านตารางเมตร มียอดการสร้างโครงการใหม่ หรือเช่าพื้นที่ราว 2 แสนตารางเมตร การขายทรัพย์สินเข้ากอง REIT ราว 1.8 แสนตารางเมตร

ส่วนธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ในปัจจุบันดับบลิวเอชเอมีนิคมฯทั้งสิ้น 11 แห่ง (10 แห่งในไทยและ 1 แห่งในเวียดนาม) มีพื้นที่รวม 68,900 ไร่ โดยเป็นพื้นที่มีลูกค้าดำเนินธุรกิจในปัจจุบันและกำลังพัฒนา 47,200 ไร่ ในไทยและเวียดนาม มียอดขายที่ดิน 109 ไร่ และมี LOI อีก 385 ไร่ คาดการณ์ภาพรวมทั้งปี 2563 จะมีนิคมฯ เพิ่มอีก 1 แห่ง คือ ดับบลิวเอชเอระยอง 36 คาดยอดขายทั้งปีอยู่ที่ 900 ไร่

ขณะที่ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน สาธารณูปโภค ในครึ่งปีแรกของปี 2563 ยอดจำหน่ายและบำบัดน้ำ : 57 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยภาพรวมทั้งปี 2563 จะมียอดจำหน่ายและบริหารน้ำ 130 ล้านลูกบาศก์เมตร ธุรกิจพลังงานไฟฟ้าในครึ่งปีแรก 2563 มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 570 เมกะวัตต์ รวมโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมและโครงการพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา คาดการณ์ภาพรวมทั้งปี 2563 กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 592 เมกะวัตต์

ด้านธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม ในครึ่งปีแรกของปี 2563 ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ 4 แห่ง ได้แก่ ดาต้าเซ็นเตอร์ระดับเทียร์ 4 Gold Certified แห่งเดียวในเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมออสเตรเลีย) และดาต้าเซ็นเตอร์ระดับเทียร์ 3 จำนวน 3 แห่ง ให้บริการไฟเบอร์ออฟติกครอบคลุมนิคมอุตสาหกรรมจำนวน 6 แห่ง คาดการณ์ภาพรวมทั้งปี 2563 จะให้บริการไฟเบอร์ออฟติกครอบคลุมนิคมอุตสาหกรรม 10 แห่ง