สรรพสามิตเล็งยืดยกเว้นภาษีน้ำมันเครื่องบิน
สรรพสามิตพร้อมพิจารณาต่ออายุ 6 เดือนยกเว้นภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงให้ธุรกิจการบินโลว์คอสต์ ระบุ ธุรกิจนี้ได้รับผลกระทบตรงจากโควิด-19 ทำให้เหลือเที่ยวบินเพียง20%
นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิตเปิดเผยว่า กรมฯพร้อมพิจารณาผ่อนปรนหรือขยายระยะเวลาการยกเว้นภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินให้กลุ่มธุรกิจการบินโลว์คอสต์จากเดิมที่จะสิ้นสุดระยะเวลาการยกเว้นภาษีดังกล่าวในสิ้นปีงบประมาณหรือสินเดือนก.ย.นี้ เนื่องจาก มองว่า ผู้ประกอบการดังกล่าวได้รับผลกระทบทางตรงจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ต้องลดเที่ยวบินในประเทศเหลือเพียง 20%ของไฟล์ทบิน อย่างไรก็ดี หากจะต้องขยายระยะเวลาผ่อนปรนออกไปนั้น เราจะพิจารณาในช่วงระยะเวลาหนึ่งหรือราว 6 เดือน เพื่อประเมินสถานการณ์ผลกระทบเป็นระยะๆ
สำหรับผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของกรมฯนั้น เขากล่าวว่า ตามปกติแล้วการจัดเก็บรายได้ภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินจะมีจำนวนไม่มากนัก หรือราว 1 พันล้านบาทต่อปี หากต้องขยายระยะเวลาการยกเว้นภาษีดังกล่าวออกไป ก็จะไม่กระทบรายได้กรมฯมากนัก
"ธุรกิจโลว์คอสนั้น ถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ ถ้าเราเข้าไปช่วยเหลือ ก็เท่ากับว่า จะช่วยส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศเช่นกัน แต่ระยะเวลาการยกเว้นภาษีนั้น เราจะดูตามข้อเท็จจริงของผลกระทบ"
ส่วนการช่วยเหลือสภาพคล่องธุรกิจสายการบิน ภายในต.ค.นี้ ธนาคารออมสิน ได้เตรียมวงเงินซอฟท์โลน ปล่อยกู้ผ่านธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออกแห่งประเทศไทย(เอ็กซิมแบงก์) อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี ระยะเวลา 60 เดือน เสนอ ครม.พิจารณาในเร็วๆนี้ เนื่องจากเห็นว่า การท่องเที่ยวยังเป็นส่วนสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจช่วงปัญหาไวรัสโควิด
สำหรับแผนการจัดเก็บภาษีสินค้าตัวใหม่ โดยเฉพาะภาษีความเค็ม หรือ การขึ้นอัตราภาษีในบางสินค้านั้น เขากล่าวว่า กรมฯอยู่ระหว่างการศึกษา แต่เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้กรมฯต้องชะลอการพิจารณาเรื่องดังกล่าวออกไป
"ต้องยอมรับว่า ภาษีสรรพสามิต หากสูงมากเกินไป จะเป็นดาบสองคม อาทิ จะทำให้มีการลักลอบนำเข้าตามชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน และในสถานการณ์เศรษฐกิจแบบนี้ การขึ้นภาษีหรือเก็บภาษีสินค้าใหม่ๆจะเป็นการซ้ำเติมผู้ผลิตและประชาชน"
ด้านผลการจัดเก็บรายได้ภาษีสรรพสามิตในรอบ 11 เดือน (ต.ค. 62 – ส.ค. 63) ยอดรวม 5.03 แสนล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อน 3.5 หมื่นล้านบาท หรือ 6.53% รายได้ภาษีจัดเก็บได้สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน 2.06 แสนล้านบาท 2.ภาษีรถยนต์ 7.77 หมื่นล้านบาท 3.ภาษีเบียร์ 7.33 หมื่นล้านบาท 4.ภาษีสุรา 5.66 หมื่นล้านบาท 5. ภาษียาสูบ 5.81 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ กรมฯประเมินว่า ทั้งปีงบประมาณยอดจัดเก็บรายได้จะอยู่ที่กว่า 5.2 แสนล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5.01 แสนล้านบาท โดยภาษีที่จัดเก็บได้ดี คือ ภาษีรถยนต์ เป็นผลจากการเปลี่ยนโมเดลรถยนต์ ในหลายรุ่น ซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขาย และยังทำให้ภาษีน้ำมันปรับขึ้นตามไปด้วย ขณะเดียวกัน หลังรัฐบาลคลายล็อกดาวน์ทำให้ประชาชนบริโภคสินค้าที่เกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตมากขึ้น ส่วนปีงบประมาณ 64 กรมฯได้รับเป้าหมายที่ 5.34 แสนล้านบาท หากไม่มีเหตุการณ์ปัจจัยภายนอกเข้ามากระทบอย่างรุนแรง เชื่อว่า จะเป็นไปตามเป้าหมาย