สมุนไพรวังพรมชูเรือธง‘ยาหม่องไทย’ เร่งปักหมุดแบรนด์ซีแอลเอ็มวี

สมุนไพรวังพรมชูเรือธง‘ยาหม่องไทย’ เร่งปักหมุดแบรนด์ซีแอลเอ็มวี

โปรดักท์สมุนไพรไทย! ได้ทั้งอานิสงส์และผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ที่ต้องปรับพอร์ตและกลยุทธ์ธุรกิจ ให้สอดรับดีมานด์ท่ามกลางคู่แข่งจำนวนไม่น้อยที่พร้อมช่วงชิงตลาดในและต่างประเทศ ซึ่งพุ่งเป้ากลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี ที่มีพฤติกรรมการใช้สินค้าไม่ต่างจากคนไทย

ประการสำคัญมีความนิยม “ไทยแบรนด์” นับเป็นโอกาสในการปักหมุดขยายตลาด

วัชรีภรณ์ วังพรม กรรมการบริหาร บริษัท สมุนไพรวังพรม จำกัด กล่าวว่า สมุนไพรวังพรม เดินหน้าขยายตลาดส่งออกตั้งแต่ปี 2560 โดยมุ่งขยายฐานลูกค้าในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม)  มีการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคประเทศเพื่อนบ้านี โดยเฉพาะ “ลาว”  ที่มีความชื่นชอบในผลิตภัณฑ์สมุนไพรเป็นทุนเดิม อีกทั้งมีไลฟ์สไตล์การใช้ผลิตภัณฑ์ทาถูบรรเทาอาการและนวดผ่อนคลายคล้ายกับคนไทย ทำให้ผลิตภัณฑ์ “ยาหม่องสมุนไพรเสลดพังพอน” และยาหมองสมุนไพรไทยสูตรอื่นๆ ของแบรนด์สมุนไพรวังพรม ได้รับความนิยมสูง ซึ่งปีที่ผ่านมาสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น “เท่าตัว” จากปีก่อนหน้า ก้าวสู่เบอร์ 1 ด้วยยอดจำหน่ายถึง 60% ในกลุ่มตลาดยาหม่องในประเทศลาว สร้างชื่อผลิตภัณฑ์ยาหม่องสมุนไพรไทยสามารถทำยอดขายแซงหน้า “โลคอลแบรนด์” ของลาวได้เป็นครั้งแรก

ในบิ๊กสเต็ป หรือระยะที่สองของการขยายตลาดกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี สมุนไพรวังพรม เร่งผลักดันการส่งออกไปยัง “เมียนมา” และ “กัมพูชา” 

“ผลิตภัณฑ์สมุนไพร โดยเฉพาะยาหม่องยังมีโอกาสเติบโตอีกมากทั้งเมียนมาและกัมพูชา ตั้งเป้าผลักดันยอดขายเติบโต 8-10% ภายในปี 2565”

ขณะเดียวกัน มุ่งกระตุ้นยอดขายในประเทศผ่านกลยุทธ์ปั้นแบรนด์สมุนไพรไทยที่เชื่อมโยงภูมิปัญญาและการนวดไทยอันเป็นเอกลักษณ์! และได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็นตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ 

แนวทางเพิ่มยอดขายในไทย จะเร่งขยายฐานลูกค้ากลุ่มคนเมืองและคนรุ่นใหม่ที่หันมาสนใจสินค้าสมุนไพรมากขึ้น พร้อมเน้นทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ และโปรโมชั่นควบคู่ “หน้าร้านสมุนไพรวังพรม” และเครือข่ายร้านค้าทั่วประเทศไทย

นอกจากนี้มุ่งยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์! ที่ปัจจุบันโปรดักท์ของสมุนไพรวังพรม ไม่เพียงได้รับการยอมรับเฉพาะเพื่อนบ้านเท่านั้น แต่ยังไปไกลถึงกลุ่มประเทศแถบยุโรปสอดคล้องกับ “ศาสตร์นวดไทย” ที่ได้รับยกย่องเป็นมรดกโลก 

“การเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์เข้ากับเรื่องราวและคุณค่าที่ได้รับการยอมรับในต่างประเทศอย่างแพร่หลายจะช่วยเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ก้าวสู่ระดับสากล ทั้งยังช่วยเพิ่มคุณค่าและเรื่องราวให้กับผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยอีกด้วย”

โดยมีคลิปวิดีโอ “เชิดชูนวดไทย จากสมุนไพรวังพรม” เป็นเครื่องมือสื่อสารแบรนด์่  ส่งเสริมภาพลักษณ์ความเป็นไทย นอกจากนี้ได้เตรียมความพร้อมด้านกำลังการผลิต ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ภายใต้มาตรฐาน GMPPIC/S คาดแล้วเสร็จเปิดดำเนินการภายในปีหน้า

ด้าน วุฒิชัย วังพรม กรรมการบริหาร กล่าวเสริมว่า สมุนไพรวังพรม เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยตรง ซึ่งไม่เพียงต้องหยุดไลน์การผลิตและปิดโรงงานชั่วคราว! เนื่องจากผู้บริโภคชะลอการซื้อกะทันหัน ส่งผลต่อยอดขายทั้งในและต่างประเทศ 

ขณะเดียวกัน “ธุรกิจนวดไทย” หนึ่งในลูกค้ากลุ่มใหญ่จำเป็นต้องหยุดให้บริการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!  ทำให้ยอดขายโดยรวมในช่วง 2 ไตรมาสแรกชะงัก 

อย่างไรก็ตาม หลังสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค.ที่ผ่านมา ตลาดต่างๆ ของผลิตภัณฑ์สมุนไพรวังพรม ในไตรมาส 3 นี้ เริ่มกลับมามีคำสั่งซื้อและมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง พบยอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นกว่า 50% จากช่วงครึ่งปีแรกที่โควิดระบาดหนัก

“ขณะนี้โรงงานต้องเดินสายพานการผลิตอย่างเต็มกำลัง และเพิ่มโอทีพนักงาน 100% ซึ่งหากยอดคำสั่งซื้อเป็นเช่นนี้ต่อไป เราจะสามารถประคองสถานการณ์ผ่านพ้นช่วงวิกฤติโควิดไปได้ด้วยยอดขายบรรลุตามเป้าหมายในสิ้นปีนี้อย่างแน่นอน”

สำหรับ สมุนไพรวังพรม ดำเนินกิจการมา 25 ปี  มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุม 6 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย กลุ่มยาดม กลุ่มยาสมุนไพร กลุ่มยาแคปซูล กลุ่มของใช้ส่วนตัว กลุ่มของชำร่วย และกลุ่มยาสำหรับนวด ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมสูงสุดโดยเฉพาะ “ยาหม่องสูตรเสลดพังพอน” ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ด้วยสีของผลิตภัณฑ์และกระปุกสีเขียว รวมถึง “ยาหม่องสูตรไพล” กระปุกสีเหลือง บรรเทาอาการปวดเมื่อย

ปัจจุบัน ยาหม่องแบรนด์สมุนไพรวังพรม อยู่ใน “ท็อป5” ผู้นำตลาดยาหม่องในประเทศไทยที่มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 3,000 ล้านบาท มีโอกาสเติบโตสูง โดยเฉพาะลูกค้าต่างชาติ! ที่ชื่นชอบและติดใจจากการประสบการณ์ตรงหลังเข้ารับบริการร้านนวดแผนไทย หรือมีโอกาสได้ทดลองทาถูระหว่างเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวจนเกิดเป็นกระแสแนะนำปากต่อปาก

ระหว่างนี้การสร้างการรับต่อแบรนด์ บ่มเพาะความแข็งแรง และเตรียมความพร้อมรอบด้าน เมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ จะยิ่งเสริมศักยภาพการเคลื่อนทัพเหนือคู่แข่ง