สิงคโปร์คว้าแชมป์ดัชนีสมาร์ทซิตี้2ปีติด

สิงคโปร์คว้าแชมป์ดัชนีสมาร์ทซิตี้2ปีติด

สถาบันการพัฒนาการจัดการ (ไอเอ็มดี)ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาด้านธุรกิจในสวิตเซอร์แลนด์เผย รายงานการจัดอันดับดัชนีสมาร์ทซิตี้ปี 2563 ที่จัดให้สิงคโปร์ ติดอันดับ1ในดัชนีนี้เป็นปีที่2ติดต่อกันเพราะมีความโดดเด่นในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด

การจัดอันดับดัชนีสมาร์ทซิตี้ปีนี้ของสถาบันไอเอ็มดี เป็นการจัดอันดับเพื่อดูว่าเมืองต่างๆทั้ง 109 เมืองใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19อย่างไร ซึ่งผลปรากฏว่า สิงคโปร์ใช้เทคโนโลยีตอบสนองวิกฤตสาธารณะสุขครั้งนี้ได้อย่างประสบความสำเร็จ

“เราจับตามองภาพรวมการดำเนินงานของสิงคโปร์มาตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา และนำมาเปรียบเทียบโดยตรงกับความสำเร็จของสิงคโปร์ในการตอบสนองกับสถานการณ์แพร่ระบาดขณะที่เมืองอื่นๆไม่สามารถทำได้อย่างสิงคโปร์ โดยสิงคโปร์ดำเนินการรับมือวิกฤติด้านสุขภาพครั้งนี้อย่างรวดเร็วและเด็ดขาด ”อาร์ทูโร บริส ผู้อำนวยการศูนย์การแข่งขันโลกจากไอเอ็มดี กล่าว

ผอ.ศูนย์การแข่งขันโลกจากไอเอ็มดี กล่าวเสริมด้วยว่า สิงคโปร์มีโรดแม็ปที่ชัดเจน มีความยืดหยุ่น ทางการรายงานข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ประชาชนรับรู้อย่างต่อเนื่องและเมื่อเกิดผลกระทบ หรือความเสียหายจากการระบาดของโรคโควิด-19 รัฐบาลสิงคโปร์ก็จัดสรรเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึง

รายงานจัดอันดับชิ้นนี้ ยังระบุว่า หัวใจสำคัญที่ทำให้สิงคโปร์ครองอันดับ1ในดัชนีสมาร์ทซิตี้เป็นปีที่2 เพราะความมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและการตอบสนองอย่างทันท่วงทีเมื่อต้องเผชิญกับความท้าทายที่คาดไม่ถึงจากการแพร่ระบาดของไวรัสมฤตยูชนิดนี้

นอกจากนี้ รายงานของไอเอ็มดี ยังระบุว่า กว่า77% ของผู้ตอบแบบสอบถามยังเห็นพ้องต้องกันว่า การให้ข้อมูลที่ชัดเจนและง่ายต่อการเข้าถึง รวมทั้งเข้าถึงข้อมูลการตัดสินใจในเรื่องต่างๆเกี่ยวกับการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิดของรัฐบาลเป็นเรื่องสำคัญ

ศาสตราจารย์บริส ระบุว่า เมืองต่างๆมีเทคโนโลยีทันสมัยมากขึ้นและนำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยนี้มาบริหารจัดการการระบาดได้ดีขึ้น เพราะฉะนั้น ความเป็นสมาร์ทซิตี้ไม่ใช่ช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างเดียว แต่เทคโนโลยีก็มีส่วนช่วยด้วย

ดัชนีสมาร์ทซิตี้ ซึ่งจัดอันดับเมืองต่างๆโดยใช้ข้อมูลด้านเทคโนโลยีและข้อมูลเศรษฐกิจเป็นตัวชี้วัด รวมทั้งมุมมองของประชาชนในเมืองนั้นๆที่มีต่อความเป็นเมืองอัจฉริยะที่พวกเขาอาศัยอยู่ ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่โดยสถาบันไอเอ็มดี ที่เป็นหุ้นส่วนกับมหาวิทยาลัยสิงคโปร์ ออฟ เทคโนโลยี แอนด์ ดีไซน์

ทีมงานผู้จัดทำดัชนี ได้สำรวจผู้อยู่อาศัยในแต่ละเมืองจำนวน 120 คนเกี่ยวกับแนวคิดของพวกเขาใน2 เสาหลักคือ โครงสร้างของเมือง ซึ่งหมายถึงโครงสร้างเมืองในปัจจุบัน และเทคโนโลยี ซึ่งหมายถึง การจัดหาเทคโนโบยีและการบริการด้านเทคโนโลยีที่พลเมืองสามารถใช้งานได้จริง และในแต่ละเสาหลักจะถูกนำมาประเมินโดยคำนึงถึงเกณฑ์5เกณฑ์สำคัญคือ สุขภาพและความปลอดภัย,ความคล่องตัว ,กิจกรรมต่างๆ, โอกาส และธรรมาภิบาล

“ภาพสะท้อนในการจัดอันดับในปีนี้คือ เมืองต่างๆมีแนวทางที่แตกต่างกันในการนำเทคโนโลยีมาบริหารจัดการการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และสิ่งนี้มีความสำคัญมากขึ้นอย่างมากกับการเมืองท้องถิ่น ซึ่งในจุดนี้ หลายเมืองในอินเดีย เช่น กรุงนิว เดลี มุมไบ ไฮเดอราบัด และเบงกาลูรู มีอันดับร่วงลงอย่างมาก”รายงานของไอเอ็มดี ระบุ

“หากไม่มีความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี การรับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19อาจจะเกิดผลเสีย หลายเมืองในอินเดียได้รับผลกระทบจากการระบาดครั้งนี้รุนแรงกว่าที่อื่นๆนั่นเป็นเพราะไม่มีการเตรียมพร้อม ที่สำคัญกว่านั้นคือ ตัวแปรสำคัญที่ทำให้อันดับของหลายเมืองในอินเดียร่วงลงเพราะคุณภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานของเมืองต่างๆแย่ลง แม้จะมีเทคโนโลยก้าวหน้าช่วยแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่งก็ตาม” รายงานของไอเอ็มดี ระบุ

ขณะที่ความพร้อมด้านทเคโนโลยีของสิงคโปร์ ช่วยให้สิงคโปร์รับมือการระบาดได้ดีกว่าและเร็วกว่า สิงคโปร์เป็นหนึ่งในสองเมืองในเอเชียที่ติดท็อป 10 โดยมีกรุงไทเป ของไต้หวันติดอันดับที่ 8 ร่วงลงไป1อันดับจากการจัดอันดับปีก่อน