พาณิชย์เผยผลศึกษาฟื้นเอฟทีเอไทย-อียู

พาณิชย์เผยผลศึกษาฟื้นเอฟทีเอไทย-อียู

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นฟื้นการเจรจาFTAไทย-อียู 22 ก.ย.นี้ หลัง “ไอเอฟดี” ศึกษาเสร็จ “อรมน”ชี้ปัจจุบันไทยมีสัดส่วนการค้ากับประเทศที่มีFTAรวม 62.8%ถ้าได้อียูที่มีสัดส่วนการค้า 7.9%จะทำให้การค้าของไทบกับประเทศที่ทำFTAเพิ่ม

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้กำหนดจัดการสัมมนา ““ไทยพร้อมหรือยังที่จะฟื้นการเจรจาFTAไทย-EU?”ในวันที่ 22 ก.ย.2563 ณ โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค กรุงเทพฯ เพื่อเผยแพร่ผลการศึกษาประโยชน์และผลกระทบจากการฟื้นการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพยุโรป (อียู) หลังจากที่กรมฯ ได้มอบสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา (ไอเอฟดี) ดำเนินการเสร็จแล้ว โดยจะเชิญผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เกษตรกร นักวิชาการ และภาคประชาสังคม ร่วมวิพากษ์วิจารณ์ และแลกเปลี่ยนความเห็นต่อผลการศึกษาดังกล่าว รวมทั้งระดมความเห็นเรื่องการฟื้นการเจรจาFTAไทย-อียู ก่อนที่จะรวบรวมความคิดเห็นเสนอระดับนโยบายประกอบการพิจารณาตัดสินใจการดำเนินการของไทยในเรื่องนี้ต่อไป

 ทั้งนี้ ผลการศึกษาในเบื้องต้น พบว่า การทำFTAกับอียูจะช่วยสร้างโอกาสในการแข่งขันให้กับสินค้าไทยได้เพิ่มขึ้น โดยสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออกไปอียู เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องแต่งกาย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์อาหารอื่น เคมีภัณฑ์ ยาง และพลาสติก แต่ในทางกลับกัน ไทยจะต้องเปิดตลาดให้อียู ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการไทยนำเข้าสินค้าบางชนิดจากอียูเพิ่มขึ้น เช่น นมและผลิตภัณฑ์นม เครื่องดื่ม เมล็ดพืชน้ำมัน และสินค้าเทคโนโลยี เป็นต้น

ขณะเดียวกัน ยังพบว่าFTAที่อียูทำกับสิงคโปร์ เวียดนาม และประเทศอื่นๆ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการหยิบยกประเด็นใหม่ๆ รวมไว้ในการจัดทำFTAด้วย เช่น การยกระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การเปิดตลาดจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ การเข้าเป็นภาคีความตกลงระหว่างประเทศ การยกระดับมาตรฐานแรงงาน และการปฏิบัติของรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องของไทยต้องพิจารณาระดมความเห็นว่าไทยพร้อมที่จะเจรจากับอียูในเรื่องเหล่านี้หรือไม่ อย่างไร เพราะจะมีผลต่อการนำไปสู่การปรับกฎเกณฑ์ทางการค้าของไทย

   

       

นายอรมน กล่าวว่า ปัจจุบัน ไทยมีการลงนามFTAแล้ว 13 ฉบับ กับคู่ค้า 18 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน 9 ประเทศ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี และเปรู โดยในปี 2562 สัดส่วนการค้าของไทยกับ 18 ประเทศ ที่มีFTAคิดเป็น 62.8%ของการค้าไทยกับทั้งโลก ซึ่งแสดงว่าการค้าของไทยกับโลกอีกเกือบ 40%เป็นการค้ากับประเทศที่ไทยไม่มีFTAหรือแต้มต่อทางการค้า ซึ่งในนี้ มีอียู 27 ประเทศ รวมอยู่ด้วย และมีสัดส่วนการค้ากับไทยในปี 2562 สูงถึง 7.9%และเมื่อเทียบกับมูลค่าการค้าของไทยกับทั่วโลก ซึ่งถือว่าสูงรองจากอาเซียนที่มีสัดส่วน 22.4%จีน 16.5%ญี่ปุ่น 12%และสหรัฐฯ 10.1%

“ถ้าไทยทำFTAกับอียู ก็จะทำให้สัดส่วนการค้าที่ไทยค้าขายกับประเทศที่มีFTAเพิ่มขึ้นเป็น 70.7%ซึ่งถือว่าสูงพอสมควร แต่หากเทียบตัวเลขปัจจุบันที่มีสัดส่วน 62.8%กับคู่แข่งในอาเซียน ก็ยังถือว่าน้อย โดยสิงคโปร์ทำFTAกับประเทศต่างๆ ทั่วโลกสูงถึง 94.5%อินโดนีเซีย 76%มาเลเซีย 71.5%และเวียดนาม 69.9%ซึ่งกรมฯ จะเดินหน้าเจรจาFTAกับประเทศต่างๆ เพื่อเพิ่มสัดส่วนการค้าต่อไป”นางอรมนกล่าว

ล่าสุด สหภาพยุโรป (อียู) มีสมาชิก 27 ประเทศ ไม่นับสหราชอาณาจักร (ยูเค) ซึ่งต้องออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการในสิ้นปี 2563 โดยอียูเป็นกลุ่มประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ประชากรรวมกันกว่า 447 ล้านคน และมีจีดีพีกว่า 15.6 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 18%ของจีดีพีโลก เป็นคู่ค้าอันดับ 5 ของไทย รองจากอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ และเป็นนักลงทุนลำดับ 5 ของไทย รองจากญี่ปุ่น จีน อาเซียน และจีนไทเป ปัจจุบันอียูมีการทำFTAกับสิงคโปร์และเวียดนามแล้ว มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 21 พ.ย.2562 และ 1 ส.ค.2563 ตามลำดับ และอยู่ระหว่างการเจรจาจัดทำFTAกับอินโดนีเซีย โดยเจรจากันมาแล้ว 9 รอบ ตั้งแต่เดือนก.ค.2559 รวมทั้งอยู่ระหว่างพักการเจรจาFTAกับมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย โดยในส่วนของไทยได้เคยเข้าสู่การเจรจาFTAกับอียู เมื่อปี 2556 เจรจากันไปแล้ว 4 รอบ แต่ได้หยุดชะงักลงเมื่อปี 2557 และล่าสุดเมื่อเดือนต.ค.2562 คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปได้มีข้อมติที่จะเดินหน้าเตรียมความพร้อมสู่การฟื้นเจรจาFTAกับไทย