'ธนาธร' ชี้ครบรอบ 'รัฐประหาร 49' ประเทศย่ำถอยหลัง

'ธนาธร' ชี้ครบรอบ 'รัฐประหาร 49' ประเทศย่ำถอยหลัง

"ธนาธร" ร่วมวงเสวนา "ประเทศไทยในอีกทศวรรษ" - ชี้ครบรอบ "รัฐประหาร 49" เป็น 14 ปี ที่ประเทศย่ำถอยหลัง - เผย 5 เรื่องสำคัญจำเป็นต้อง "ปฏิรูป"

เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2563 ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ร่วมเสวนาเนื่องในวาระครบรอบ 60 ปี ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ จัดโดยคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ในหัวข้อ "ประเทศไทยในทศวรรษหน้า" พร้อมกับวิทยากรร่วมรายการอีก 2 คน คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี

โดยในช่วงแรก นายธนาธร เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงภาพฝันเกี่ยวกับประเทศไทยที่ตนเองอยากเห็นใน 10 ปีข้างหน้าด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ด้านการต่างประเทศฯลฯ  โดยชี้ให้เห็นถึงระบบโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม เอื้อประโยชน์กับกลุ่มทุนแค่ไม่กี่กลุ่มไม่กี่ตระกูล คนจนคนตัวเล็กตัวน้อยไม่เคยได้รับการเหลียวแล

โดยสรุปด้วยว่า แต่เพราะความฝันเห็นประเทศไทยที่ดีขึ้นแบบนี้เองที่ทำให้ตนถูกกล่าวหาว่าเป็นคนชังชาติ ทั้งๆที่ทั้งหมดนี้ก็เป็นความฝันของคนอีกหลายล้านคนเช่นกัน ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะไปสู่จุดนั้นได้ในอีก 10 ปีข้างหน้า ยิ่งในรอบ 2 ปีที่ตนมีโอกาสได้ไปเป็นกรรมาธิการพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ยิ่งทำให้มั่นใจ แต่ก็ได้เห็นว่าเรากำลังใช้ทรัพยากรของประเทศไทยไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น จะไปสู่จุดที่ฝันได้ ต้องแก้ปัญหาและโจทย์ทางการเมืองเหล่านี้

ชี้ 14 ปี รัฐประหาร ก.ย.49 ถึงเวลาย้อนมองความผิดพลาดแก้ไขเพื่ออนาคต - เผย 5 เรื่องสำคัญจำเป็นต้อง "ปฏิรูป"

นายธนาธร กล่าววว่า พรุ่งนี้จะเป็นวันครบรอบ 14 ปี การทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมาเราเห็นการปิดเมือง ปิดสถานที่ราชการ ปิดสนามบิน ปิดสถานีโทรทัศน์ ปิดสี่แยกเศรษฐกิจ ปิดคูหาเลือกตั้ง มีการชุมนุม การล้อมปราบที่นำมาซึ่งคนบาดเจ็บล้มตาย การยุบพรรคการเมืองต่างๆ เราเห็นการรัฐประหารสองครั้ง การเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อสืบทอดอำนาจสองครั้ง การเอาภาษีประชาชนและงบประมาณของประเทศมาเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนใกล้ชิดเพื่อเป็นเสาค้ำยันการสืบบทอดอำนาจ ซึ่งถ้าเรายังปล่อยให้อนาคตของเราเป็นเหมือน 14 ปีที่ผ่านมา อนาคตแบบที่เราอยากเห็นไม่มีทางเป็นไปได้

ดังนั้น นี่คือโอกาสที่เราทุกคนจะหันกลับไปมองว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตนเห็นว่าทุกฝ่ายมีส่วนทำให้สังคมเดินมาถึงทางตันตรงนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกองทัพ องค์กรตุลาการ องค์กรอิสระ พรรคการเมือง สื่อมวลชน นักวิชาการ ฯลฯ แต่ยังไม่สายเกินไปที่จะมาตั้งต้นกันใหม่ ยอมรับความผิดพลาดในอดีตแล้วหาทางไปข้างหน้า ให้ในอีก 10 ปีข้างหน้าไม่เป็นเหมือน 14 ปีที่ผ่านมา และโอกาสที่เราจะแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นมาในอดีตกำลังจะหมดแล้ว โดยขั้นแรกที่สุด เราต้องหยุด "ระบอบประยุทธ์" ให้ได้ในการสร้างอนาคตที่ดีกว่านี้ หาข้อตกลงใหม่ หยุดระบอบประยุทธ์ในรูปรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งต้องเริ่มต้นด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560


 "แต่ต่อให้แก้รัฐธรรมนูญได้ นั่นก็ยังไม่ใช่ชัยชนะของประชาชน แต่เป็นแค่บันไดก้าวแรกเท่านั้น เพื่อไม่ให้กลับไปเป็นแบบที่ผ่านมาอีก เรายังมีอีก 4-5 ประการต้องทำคือ 1.ปฏิรูประบบราชการที่ส่วนกลาง คืนอำนาจงบประมาณให้ต่างจังหวัดมีอำนาจตัดสินอนาคตตัวเอง 2.ปฏิรูปกองทัพให้อยู่ใต้รัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง 3. ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด 4.ยกเลิกการผูกขาดในระบบเศรษฐกิจในประเทศไทย เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนาดกลางเล็กแข่งขันกัน และ 5. ถึงวันนี้คงมีความจำเป็นแล้วที่จะต้องพูดเรื่องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเรื่องนี้เข้าใจดีว่าเมื่อพูดแล้ว สร้างความกระอักกระอ่วนให้กับผู้คนหลายท่าน แต่อยากจะให้พวกเราย้อนกลับมามองดูในประวัติศาสตร์ว่าบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์กับหลักการประชาธิปไตยในปัจจุบันสอดคล้องกันหรือไม่ ดังนั้น เพื่อจะทำให้สังคมไปข้างหน้า เรามีความจำเป็นที่จะต้องทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ต่อไป หลังจากที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 แล้ว" นายธนาธร กล่าว

ย้ำพูดเรื่องสถาบันด้วยความหวังดี - สังคมต้องพร้อมเผชิญความจริงอย่างมีวุฒิภาวะ ไม่ซุกปัญหาไว้ใต้พรมให้คนรุ่นต่อไปแก้
   

นายธนาธร กล่าวว่า นี่คือการพูดด้วยความหวังดี และเป็นการพูดที่อยู่ในกรอบกฎหมาย ที่มีความกังวลว่าหากมีการยกประเด็นนี้ขึ้นมาจะนำไปสู่การรัฐประหาร ตนไม่คิดว่าจะจบลงเป็นเช่นนั้น คนรุ่นใหม่ตั้งคำถามเรื่องนี้ออกมาแล้ว คำถามที่อย่างน้อยที่สุดคนรุ่นเราควรจะต้องถามกันเองว่า เราพร้อมหรือยังที่จะเผชิญหน้ากับความจริง เรามีวุฒิภาวะพอหรือยังที่จะเผชิญเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา ไม่เอาปัญหาซุกไว้ใต้พรมให้คนรุ่นหลังแก้กันเองอีก เราจะพูดเรื่องนี้อย่างมีเหตุผลได้หรือยัง นี่คือคำถามที่นักศึกษาได้ตั้งคำถามและท้าทายเรา ตนอยากเรียกร้องให้ทุกคนพูดกันเรื่องนี้กันด้วยความหวังดี การพูดเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาเท่านั้นที่จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่คู่กับประเทศอย่างเป็นประชาธิปไตยได้ ที่ผ่านมาการชุมนุมไม่มีใครเรียกร้องให้ล้มล้างระบอบเลย แต่เราต้องยอมรับความจริงว่าพวกเรามีส่วนทำให้สังคมไทยมาถึงทางตันนี้ เรื่องสถาบันกษัตริย์จะไม่เป็นปัญหาเลยถ้าเราไม่ดึงสถาบันลงมายุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะด้วยวาทกรรม "เราจะสู้เพื่อในหลวง" หรือพฤติการณ์ของอดีตประธานองคมนตรีที่กล่าวว่าทหารคือม้า รัฐบาลเป็นแค่จ๊อกกี้ เป็นต้น

"และผมไม่คิดว่ารัฐประหารรอบนี้จะประสบความสำเร็จ รอบนี้มีปัจจัยไม่เหมือนเมื่อปี 2549 หรือ 2557 ด้วยปัจจัยที่ต่างออกไปทำให้ไม่คิดว่ารัฐบาลจะสามารถบริหารประเทศได้ปกติหลังรัฐประหาร และคิดว่าประชาชนจะลุกขึ้นมาต่อต้าน อย่างน้อย ผมคนหนึ่งที่จะลุกขึ้นมาต่อต้านการรัฐประหารครั้งนี้ด้วย" นายธนาธร กล่าว

หมดหวังรัฐสภา- มองไม่เห็นเจตจำนงที่แรงกล้าสู่การเปลี่ยนแปลง - ชี้ความหวังอยู่ที่ประชาชนกระทุ้งรัฐบาลรับฟังเสียง
     

นายธนาธร กล่าวด้วยว่า จากการทำงาน 2 ปีที่ผ่านมา ตนไม่เหลือความศรัทธาในสภาชุดปัจจุบัน ไม่เห็นว่ารัฐสภาวันนี้มีเจตนาที่แรงกล้าพอในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย พาสังคมไทยไปข้างหน้าแล้วหลุดจากความขัดแย้งครั้งนี้ได้ พลังแห่งการเปลี่ยนแปลงอนาคตของประเทศไทยไม่ได้อยู่ที่รัฐสภา จะทำให้มีกฎกติกาแบบนั้นได้ มีแต่การส่งเสียงของประชาชน ซึ่งกฎกติกาที่สังคมจะอยู่ได้ด้วยสันติ ไม่ต้องฆ่าฟันกัน ทุกคนเคารพในกติกานั้น จะทำให้มีกฎกติกาแบบนั้นได้ ที่ทุกฝ่ายยอมรับ พาสังคมไปข้างหน้าได้ มีแต่การส่งเสียงของประชาชนว่าเราจะไม่ทนอีกแล้วกับสังคมแบบนี้ การชุมนุมแบบสันติปราศจากความรุนแรงและการใช้อาวุธ เป็นเครื่องมือเดียวที่จะทำให้เกิดอำนาจต่อรองและทำให้เขาต้องฟังประชาชน พลังแห่งการเปลี่ยนแปลงอนาคตของประเทศไทยไม่ได้อยู่ที่รัฐสภา วิธีเดียวที่จะหลีกเลี่ยงความรุนแรงได้ ก็คือไปชุมนุมกันให้มากที่สุด


"ส่วนประเด็นที่มีความห่วงใยกันว่าจะมีความรุนแรงเกิดขึ้นจากการชุมนุม ผมเห็นว่าเวลาเราจะพูดถึงความรุนแรงหรือการปะทะ คนที่เราต้องเรียกร้องคือตำรวจ ทหาร และรัฐบาล ว่าจะใช้ความรุนแรงในการปราบปรามหรือไม่ การชุมนุมเพื่อแสดงจุดยืนหรือมีข้อเรียกร้องทางการเมืองเป็นเสรีภาพที่ได้รับประกันไว้ในรัฐธรรมนูญ แม้แต่ในฉบับปี 2560 การชุมนุมอย่างสันติปราศจากอาวุธคือการใช้สิทธิในฐานะพลเมือง เป็นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ที่จะเป็นผลดีต่อประชาธิปไตยด้วยซ้ำ และเมื่อย้อนไปดูในประวัติศาสตร์ ความรุนแรงที่ผ่านมาไม่ได้เกิดจากการประชาชนเอาปืนไปยิงเจ้าหน้าที่รัฐก่อน แต่ล้วนเกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐก่อนทั้งสิ้น" นายธนาธร กล่าว