ฟันธง ‘หุ้นเทค’ ไร้ฟองสบู่ ‘กรุงศรี’ เชียร์ซื้อช่วงปรับฐาน

ฟันธง ‘หุ้นเทค’ ไร้ฟองสบู่  ‘กรุงศรี’ เชียร์ซื้อช่วงปรับฐาน

การปรับตัวขึ้นร้อนแรงของดัชนี Nasdaq ซึ่งมีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นหลัก โดยปีนี้ต้องยอมรับว่ามีความ “โดดเด่น” กว่าดัชนีอื่น สามารถให้ผลตอบแทนสูงถึง 35.31% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 2 ก.ย. ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม หลังจากวันที่ 2 ก.ย.เป็นต้นมา ดัชนี Nasdaq ผันผวนอย่างหนัก โดยลดลงต่อเนื่องถึง 3 วันทำการ คิดเป็นการลดลงราว 10.3% นำโดยหุ้นกลุ่ม FANGMAN +T (Facebook, Apple, Netflix, Google, Microsoft, Amazon, Nvidia และ TESLA)

ขณะที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา ดัชนี Nasdaq ยังคงปิดตลาดในแดนลบเนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีออกมาต่อเนื่อง นำมาซึ่งคำถามว่า หุ้นเทคโนโลยี ใน ดัชนี Nasdaq กำลังเผชิญกับภาวะฟองสบู่แตกใช่หรือไม่

“จาตุรันต์ สอนไว” ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กรุงศรี จำกัด ประเมินว่า บลจ.กรุงศรี ยังมีมุมมองต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดังกล่าว ไม่คิดว่าจะเข้าสู่ภาวะวิกฤติเหมือน Dotcom Bubble Crisis ในช่วงปี 2001 เนื่องจากอุปสงค์ของกลุ่มเทคโนโลยียังแข็งแกร่งและมีการเติบโตอย่างยั่งยืนและรวดเร็ว ดังนั้นมุมมองในระยะยาว ทาง บลจ.กรุงศรี ก็ยังมีมุมมองว่า กลุ่มเทคโนโลยีมีความน่าสนใจกว่าอุตสาหกรรมอื่นเป็นอย่างมาก

เนื่องจากผลกระทบของไวรัสทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคถูกปรับเปลี่ยนให้ผูกติดกับเทคโนโลยีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีนั้นเป็นธุรกิจที่เป็น Disruptor มิใช่ผู้ถูก Disrupt จึงมีความเสี่ยงที่ธุรกิจจะถูกทดแทนน้อย ในขณะที่การเติบโตถือว่าสูงกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ อย่างชัดเจน 

ผนวกกับสภาพคล่องมหาศาลที่อยู่ในระบบและเงินลงทุนที่ไหลเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อไปลงทุนกลุ่มเทคโนโลยีผ่าน ETF หรือกองทุนต่างๆ นั้น ยังสามารถหนุนให้กลุ่มหุ้นเทคโนโลยียังปรับตัวได้สูงขึ้นในระยะยาว

ดังนั้น บลจ.กรุงศรี จึงมองการปรับตัวของราคาในครั้งนี้เป็นโอกาสที่นักลงทุนจะสามารถทยอยสะสมหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในราคาที่สมเหตุสมผลเพื่อการลงทุนในระยะยาวได้

จาตุรันต์  บอกด้วยว่า การปรับตัวลดลงในครั้งนี้ไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน นอกจากการขายทำกำไรของนักลงทุนที่มีต้นทุนอยู่ค่อนข้างต่ำและมองว่าหุ้นเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นมาร้อนแรง โดยหากคำนวณผลตอบแทนของดัชนี Nasdaq แล้ว จะพบว่า ดัชนีปรับตัวสูงขึ้นมากว่า 75% จากจุดต่ำสุดของปีนี้ในเดือนมี.ค.

เหตุผลที่อาจจะเป็นสาเหตุในการขายทำกำไรของหุ้นเทคโนโลยีนั้น อาจมีผลมาจาก 2 ปัจจัย คือ 

1.การคาดการณ์ของนักลงทุนว่าน่าจะมีข่าวดีเรื่องของวัคซีนโควิด-19 ที่เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเข้าสู่กระบวนการผลิตได้ในเดือนก.ย.นี้ และนั่นจะเป็นจุดที่หุ้นในอุตสาหกรรมอื่นที่ถูกกดดันจากไวรัสมาเป็นเวลานานกว่า 6 เดือนจะกลับมาฟื้นตัวได้ในราคาที่ P/E ถูกมาก นักลงทุนจึงทยอยปรับสัดส่วนออกจากกลุ่มหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ไปสู่กลุ่มหุ้นที่ยังมีราคาถูกอยู่เพื่อหวังการฟื้นตัวในอนาคตอันใกล้

2. การปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนเพื่อรับมือความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นได้จากประเด็นหาเสียงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาในต้นเดือนพ.ย. นับเป็นโค้งสุดท้ายที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะต้องเร่งหยิบยกประเด็นที่เข้มข้นขึ้นกว่าแต่ก่อนในการหาเสียงเพื่อตีตื้นคะแนนที่ตาม Biden อยู่พอสมควร โดยตามสถิติแล้วตลาดหุ้นสหรัฐจะปรับตัวลดลงประมาณช่วง 3 เดือนก่อนที่จะมีการเลือกตั้งอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นนี้ บลจ. กรุงศรี เห็นสัญญาณว่าตลาดอาจเข้าสู่ปิดรับความเสี่ยง (Risk off mode) ด้วย 3 ปัจจัย คือ 

1. การเคลื่อนไหวของราคาทองกับดัชนี Nasdaq เริ่มขยับไปคนละทาง ซึ่งใน 6 เดือนที่ผ่านมานี้ส่วนมากราคาทองจะขยับตามดัชนี แต่ 3 วันที่ผ่านมาราคาทองไม่ได้ลงรุนแรงตามดัชนีกลับสามารถยืนราคาได้อยู่เหนือ 1,922 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

2. VIX Index หรือดัชนีวัดความผันผวนของดัชนีหุ้นอเมริกานั้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัย จาก 26.57 ในวันที่ 2 ก.ย. ขึ้นไปเป็น 31.46 ในวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมานี้

3. ค่าเงินดอลลาร์หรือดัชนี DXY ที่อ่อนค่าลงมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ที่ธนาคารกลางสหรัฐเพิ่มสภาพคล่องเข้ามาในระบบผ่าน QE ดัชนีนี้ล่าสุดปรับตัวสูงขึ้นจาก 92.73 ในวันที่ 3 ก.ย.ขึ้นไปเป็น 93.44 ในวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมานี้ สะท้อนให้เห็นว่าเริ่มมีเงินไหลเข้าซื้อดอลลาร์ที่ถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย จึงส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น

ดังนั้นบลจ. มองว่า ในระยะสั้นนี้ปัจจัยทั้ง 3 อาจทำให้มีเงินไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย (Safe haven) ได้บ้าง ขณะที่ตลาดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอาจเผชิญความผันผวนที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดือนก่อน

กล่าวโดยสรุป บลจ.กรุงศรี ยังไม่เห็นความเสี่ยงที่จะเกิดฟองสบู่หุ้นเทคโนโลยี แม้ดัชนี Nasdaq จะปรับขึ้นร้อนแรงในช่วงก่อนหน้า และมีแรงเทขายทำกำไรออกมาบ้างในช่วงต้นเดือนก.ย. ซึ่งจังหวะนี้ถือเป็นโอกาสในการทยอยเข้าสะสม เพียงแต่ระยะสั้น ตลาดอาจยังอยู่ในโหมตการปิดรับความเสี่ยงจากเงินที่ไหลเข้าในสินทรัพย์ปลอดภัยมากกว่า กดดันให้หุ้นกลุ่มนี้ยังมีความผันผวน