'ไมโครลิสซิ่ง' เคาะขายไอพีโอ 2.65 บาท เปิดจอง21-23 ก.ย.- เข้าเทรด1ต.ค.

'ไมโครลิสซิ่ง' เคาะขายไอพีโอ 2.65 บาท เปิดจอง21-23 ก.ย.- เข้าเทรด1ต.ค.

"ไมโครลิสซิ่ง"เคาะราคาขายไอพีโอ 2.65 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อ 21-23 ก.ย. เข้าเทรดใน SET 1 ต.ค. 63

นายรัชต์ โสดสถิตย์ กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท ไมโครลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MICRO เปิดเผยว่า MICRO ได้เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 235 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1.00 บาทต่อหุ้น กำหนดราคาไอพีโอหุ้นละ 2.65 บาท จัดสรรให้แก่ บุคคลทั่วไป 58.4%  นักลงทุนสถาบัน 16.6% และผู้มีอุปการคุณรวมถึงบุคคลที่มีความสัมพันธ์และพนักงาน 25.0%

  ทั้งนี้ กำหนดเปิดจองซื้อหุ้นไอพีโอในช่วงระหว่างวันที่ 21 ถึงวันที่ 23 กันยายนนี้ และคาดว่าจะดำเนินการเปิดซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันแรก ในวันที่ 1 ตุลาคม 2563 ในกลุ่มธุรกิจการเงิน / เงินทุนและหลักทรัพย์ (FIN) โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า MICRO โดยแต่งตั้งผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ MICRO จำนวน 6 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บล.ทิสโก้ บล. กรุงไทย ซีมิโก้  บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)   และบล. โกลเบล็ก

สำหรับการตั้งราคาไอพีโอที่ 2.65 บาทต่อหุ้น คิดเป็น P/E (Pre-Dilution) ประมาณ 14.0 เท่า ซึ่งถือว่าเป็นระดับราคาที่มีความเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ เป็นธุรกิจที่กำลังขยายการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีอัตรากำไรอยู่ในระดับที่น่าสนใจ 

 "เรามั่นใจว่าการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ MICRO ในครั้งนี้ จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ด้วยราคาไอพีโอที่เหมาะสม และการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไปตั้งแต่วันโรดโชว์ในช่วงที่ผ่านมา จึงเชื่อว่า MICRO จะเป็นหุ้น Growth Stock ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนในระยะยาว" นายรัชต์ กล่าว

นายเล็ก สิขรวิทย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาการเงิน กล่าวว่า การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะช่วยเพิ่มศักยภาพการดำเนินงานและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในธุรกิจของบริษัท เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ก่อนหักค่าใช้จ่ายในการเสนอขายหลักทรัพย์และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จำนวนประมาณ 620 ล้านบาท บริษัทจะนำไปใช้เป็นเงินทุนในการขยายธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อจำนวน 460 ล้านบาท ชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมสถาบันการเงิน 150 ล้านบาท และลงทุนในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศจำนวน 10 ล้านบาท 

นายวินิตย์ ปิยะเมธาง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MICRO ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสอง และสินเชื่อประเภทอื่นที่มีรถบรรทุกมือสองเป็นหลักประกัน เปิดเผยว่า กลยุทธ์ในช่วงต่อจากนี้ MICRO พร้อมขยายการเติบโต โดยโครงการในอนาคตในปี 2563 บริษัทฯ มีแผนพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ Mobile Application สำหรับการรวบรวมข้อมูลลูกค้า เพื่ออำนวยความสะดวกให้พนักงานสาขาส่งข้อมูลมายังสำนักงานใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการอนุมัติสินเชื่อจากส่วนกลาง ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งจะใช้เงินที่ได้รับจากเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และคาดว่าระบบจะพัฒนาแล้วเสร็จภายในปีนี้


นอกจากนั้น บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรักษาอัตราการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อได้ไม่น้อยกว่า 30% ต่อปี โดยมีแผนจะขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ในช่วงปี 2564 – 2565 คาดจะมี 16 สาขา และ 20 สาขา จากปี 2563 มี 12 สาขา มุ่งเน้นในจังหวัดที่มีการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมสูง หรือในพื้นที่ที่มีผู้ประกอบการเต็นท์รถบรรทุกมือสองจำนวนมาก โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนในการขยายสาขาเฉลี่ยสาขาละ 4 ล้านบาท จากเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ เพื่อรองรับเป้าหมายในการขยายพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อให้เติบโตเป็น 5,000 ล้านบาท ภายในปี 2565


“ในช่วง 3 – 5 ปีข้างหน้า บริษัทฯ จะยังคงมุ่งเน้นการให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสองเป็นหลัก โดยมุ่งเน้นการรักษาฐานลูกค้าเดิมและการขยายลูกค้าใหม่ ผ่านการขยายเครือข่ายผู้ประกอบการเต็นท์รถบรรทุกมือสองและการเพิ่มจำนวนสาขาให้ครอบคลุมและสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทั่วประเทศ รวมทั้งการปรับปรุงและพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน สำหรับแผนธุรกิจระยะยาว บริษัทฯ มีแผนจะเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์สินเชื่อ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการทางการเงินแก่ลูกค้าได้อย่างครบวงจร” นายวินิตย์ กล่าว

สำหรับผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2560 – 2562) บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตของรายได้รวมเฉลี่ย (CAGR) 24.4% ต่อปี และในงวด 6 เดือนแรกของปี 2563 รายได้รวมอยู่ที่ 202.5 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 37.10 % ด้านกำไรสุทธิในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) สูงถึง 30.6% ต่อปี ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ และในงวด 6 เดือนแรกของปี 2563 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 62.5 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 52.1% โดยกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับรายได้ดอกเบี้ยเช่าซื้อที่เพิ่มขึ้น ขณะที่อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 30.8% และสิ้นปี 2562 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 330.2 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 110.8 ล้านบาท


อย่างไรก็ดี ผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/2563 และครึ่งปีแรกของปีนี้ มีการเติบโตอย่างน่าประทับใจ แม้ในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ลูกหนี้เช่าซื้อบางส่วนได้รับผลกระทบ แต่บริษัทฯ ก็มีมาตรการช่วยเหลือ รวมทั้ง สามารถบริหารจัดการ ติดตามและยึดคืนหลักประกันจากลูกหนี้ที่ผิดนัดชำระได้โดยเร็ว และนำหลักประกันมาจำหน่ายเพื่อนำกระแสเงินสดกลับมาใช้หมุนเวียนในการปล่อยสินเชื่อ พร้อมกับการคุม NPL ในระดับต่ำไม่ถึง 3% สะท้อนธุรกิจรถบรรทุกเป็นธุรกิจที่แข็งแกร่ง อีกทั้ง แนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลังของทุกปีที่ผ่านมาจะเติบโตกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากเป็นช่วงที่ผลิตผลทางการเกษตรเริ่มออก และการขยายการลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม จึงมั่นใจว่า ผลประกอบการปีนี้จะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย พร้อมกับการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนเตรียมพร้อมรับโอกาสในการเติบโต