แอพดิลิเวอรี่แข่งดุ ‘โกเจ็ก’ ทุ่มงบ-เทคฯ ลุยไทยหวังโต 10 เท่า 

แอพดิลิเวอรี่แข่งดุ ‘โกเจ็ก’ ทุ่มงบ-เทคฯ ลุยไทยหวังโต 10 เท่า 

“โกเจ็ก” ยักษ์สตาร์ทอัพอินโดนีเซีย กางยุทธศาสตร์ลงทุนไทย เปิดตัวแอพพลิเคชั่น “โกเจ็ก” อย่างเป็นทางการ โหมโปรโมชั่น การตลาด ดึงความแข็งแกร่งเทคโนโลยีเติมเต็มอีโคซิสเต็มส์ ชู 4 บริการ ส่งอาหาร เรียกรถ รับส่งพัสดุ เพย์เมนท์ ตั้งเป้าโตไม่น้อยกว่า 10 เท่า

สำหรับ เหตุผลของการรีแบรนด์ครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากก่อนหน้านี้เก็ทได้ประกาศรวมแอพพลิเคชั่นและแบรนด์ไว้ภายใต้โกเจ็ก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ระยะยาวของบริษัทในการสร้างผลกระทบเชิงบวก พร้อมเร่งสร้างนวัตกรรมสำหรับผู้ใช้บริการในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดยเมื่อ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา โกเวียต(GoViet) ซึ่งเป็นกิจการของโกเจ็กในเวียดนาม ได้เปิดตัวภายใต้แบรนด์โกเจ็กเช่นเดียวกัน และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ใช้ โดยมียอดการสั่งซื้อรวมหลายล้านครั้งภายในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่เปิดตัว

ปัจจุบัน โกเจ็กมียอดการดาวน์โหลด มากกว่า 170 ล้านครั้ง ร้านค้าพันธมิตรมากกว่า 5 แสนร้านค้า พันธมิตรคนขับมากกว่า 2 ล้านคน รวมทำตลาดอยู่ใน 215 เมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

จัดหนักแคมเปญเพิ่มฐานลูกค้า

นายภิญญา นิตยาเกษตรวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ โกเจ็ก ประเทศไทย กล่าวว่า ครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนแบรนด์ แต่คือการนำซูเปอร์แอพใหม่ถึง 3 ตัวประกอบด้วยแอพ Gojek สำหรับผู้ใช้บริการ, แอพ GoPartner สำหรับคนขับ, และแอพ GoBiz สำหรับร้านอาหาร เข้ามาสู่ประเทศไทย

โดยครั้งนี้ได้เงินลงทุนทางการตลาดจำนวนมากขึ้นกว่าเดิม และมากกว่าครั้งที่เปิดตัวแบรนด์เก็ทไปก่อนหน้านี้ แนวทางธุรกิจเน้นการอัพเกรดแบรนด์ รวมถึงการให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ชูจุดต่างด้านเทคโนโลยีระดับโลก แต่บริหารโดยทีมงานที่เป็นคนท้องถิ่น

บริษัทตั้งเป้าว่า จะสามารถเติบได้เป็น 10 เท่าในทุกด้าน ทั้งยอดการใช้งาน ร้านค้า และพันธมิตรคนขับ ขณะเดียวกันสามารถสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับร้านอาหารและพันธมิตร ด้านแนวทางการขยายการให้บริการขณะนี้ยังเน้นที่พื้นกทม.และปริมณฑลเป็นหลัก ส่วนแผนการขยายสู่ต่างจังหวัดคาดว่าจะได้เห็นเร็วๆ นี้

เขากล่าวว่า การมาของโกเจ็กน่าจะมีส่วนทำให้ตลาดมีความคึกคักมากขึ้น บริษัทเองเตรียมโหมหนักด้านการตลาดอย่างเต็มรูปแบบ ช่วงเปิดตัวนี้มีการจัดทำแคมเปญเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ โดยเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญการตลาดระดับโลกครั้งแรกของบริษัท เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ให้ทั้งกับผู้ใช้ใหม่และผู้ใช้เดิม ไฮไลต์เช่น แจกคูปองส่วนลดมูลค่ารวม 2,500 บาท สำหรับลูกค้าทุกคนโดยไม่จำกัดจำนวนผู้ใช้งาน, ดีลส่วนลดสูงสุด 50% จากพาร์ทเนอร์ร้านและแบรนด์ยอดนิยม, รวมถึงแคมเปญแบบเอ๊กซ์คลูซีฟอีกจำนวนมาก

“เราคาดว่าในเวลาไม่เกิน 6 เดือนจากนี้ จะสามารถทำให้เกิดการยอมรับและเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น เบื้องต้นแค่ 15 วันที่เริ่มเปิดให้ดาวน์โหลดแอพโกเจ็กในไทยมีคนใช้งานเข้ามาลงทะเบียนแล้วหลักแสนราย”

ปั้นบริการสู่ระดับเวิลด์คลาส

นายภิญญากล่าวต่อว่า แต่ละแอพที่นำเข้ามาทำตลาดพัฒนาด้วยเทคโนโลยีระดับดับโลก ซึ่งจะช่วยให้สามารถพัฒนาและนำเสนอบริการใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว รวมถึงเอื้อให้สามารถปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ให้ลงตัวและเข้ากับความต้องการและความจำเป็นของผู้ใช้ชาวไทยได้ดียิ่งขึ้น

ผลสำรวจโดยโกเจ็กระบุว่า 4 ประเด็นหลักที่ผู้บริโภคชาวไทยต้องการคือ การใช้งานต้องง่ายและสะดวก 10%, จัดส่งรวดเร็ว 13%, มีการจัดทำโปรโมชั่นที่น่าสนใจรวมถึงส่วนลดค่าจัดส่ง 27% และสุดท้ายมีข้อเสนอจากร้านอาหารที่หลากหลาย 35%

“เราหวังทำให้การบริการแอพกลายเป็นระดับเวิลด์คลาส ซึ่งขณะนี้กล่าวได้ว่าทำได้ใกล้เคียงกับในอินโดนีเซียแล้ว บริษัทแม่เองตั้งเป้าไว้ว่าจะมีสัดส่วนรายได้จากตลาดอินโดนีเซีย 50% ต่างประเทศ 50% ซึ่งขณะนี้ไทยและเวียดนามเป็นตลาดนอกประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุด”

โกเจ็กเชื่อว่าโอกาสทางการตลาดมีอยู่สูงมาก จากที่มีผู้บริโภคในพื้นที่กทม. 55% ที่ใช้บริการฟู้ดดิลิเวอรี่ในช่วงเดือนที่ผ่านมา และมีถึง 73% ที่ยังคงเข้าไปซื้ออาหารจากร้านอาหารโดยตรง

สำหรับการเก็บค่าคอมมิชชั่นจากร้านอาหาร(จีพี) จะมีอัตราที่หลากหลายไม่เท่ากันในแต่ละร้าน ทว่าหากเป็นรายใหญ่ที่มีการทำตลาดร่วมกันสูงสุดจะอยู่ที่ 30% ปัจจุบันมีพาร์ทเนอร์คนขับในไทยกว่า 5 หมื่นคน พันธมิตรร้านอาหารกว่า 3 หมื่นร้านค้า สัดส่วนรายได้หลักๆ มาจากบริการฟู้ดดิลิเวอรี่ ตามมาด้วยโกไรด์ และโกเซนด์ ตามลำดับ

พร้อมระบุว่า ยินดีที่จะเข้าไปพูดคุยและทำงานกับรัฐบาลไทย และหากมีการปรับเปลี่ยนกฏเกณฑ์การทำธุรกิจก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือ ขณะนี้โกเจ็ก ประเทศไทย ยังเป็นบริษัทที่มีโครงสร้างการบริหาร การบริหารจัดการ การจัดเก็บรายได้ทุกอย่างอยู่ภายในไทย ทั้งได้เสียภาษีทุกอย่างอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

แหล่งข่าวในวงการไอทีดิจิทัล ให้ความเห็นว่า สมรภูมิการแข่งขันในตลาดแพลตฟอร์มฟู้ดดิลิเวอรี่ กำลังคับเคี่ยวกันอย่างหนักด้วยมูลค่าตลาดที่กำลังถูกช่วงชิง ประเมินไว้ไม่ต่ำกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ขณะที่กระแสข่าวของการผนึกกำลังของยักษ์อีคอมเมิร์ซโลกอย่าง “อาลีบาบา” และ “แกร็บ” ยังน่าจับตาอย่างมาก หากดีลนี้สำเร็จนั่นจะทำให้การแข่งขันในโลกของอีคอมเมิร์ซ และบริการยานพาหนะ บริการอาหาร บริการส่งของผ่านทางแอพพลิเคชันจะยิ่งดุเดือดมากขึ้นหลายเท่าตัว