PROUDลั่นปี65พลิกกำไร จ่อโอนโครงการ3.5พันล.

PROUDลั่นปี65พลิกกำไร  จ่อโอนโครงการ3.5พันล.

“พราว เรียล เอสเตท” ตั้งเป้าเทิร์นอะราวด์ปี 65 เหตุ จ่อรับรู้รายได้โครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน มูลค่า 3,515 ล้าน หนุนรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดด แย้มซุ่มเจรจากองทุนต่างประเทศอย่างน้อย 2 ราย หวังร่วมลงทุนซื้อกิจการโครงการใหม่เพิ่ม  

นายไพสิฐ แก่นจันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าผลประกอบการของบริษัทจะพลิกกลับมามีกำไร (เทิร์นอะราวด์) ได้ภายในปี 2565 หลังจากที่บริษัทขาดทุนตั้งแต่ปี 2560 และครึ่งปีแรก 2563 มีผลขาดทุน 40.37 ล้านบาท  เนื่องจากบริษัทจะมีการทยอยรับรู้รายได้และยอดโอนกรรมสิทธิ์จากโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน จำนวน 234 ยูนิต มูลค่าประมาณ 3,515 ล้านบาท เข้ามาแบบก้าวกระโดด หลังปัจจุบันโครงการดังกล่าวมียอดขายแล้วมูลค่ากว่า 2,300 ล้านบาท จากจำนวน 127 ยูนิต หรือคิดเป็นสัดส่วน 65% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด และคาดว่าภายในช่วงสิ้นปีนี้น่าจะมียอดขายอยู่ที่ระดับ 2,700-2,800 ล้านบาท 

ทั้งนี้โครงการนั้นอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งคาดจะแล้วเสร็จภายในช่วงปี 2565 โดยที่ผ่านมาได้รับความสนใจและการตอบรับจากลูกค้าเป็นจำนวนมาก หลังจากสถานการณ์โควิด-19 (ช่วงเดือนก.ค-มิ.ย.2563) บริษัทมียอดขายรวมแล้วกว่า 600-700 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงกำลังซื้อของคนระดับบนที่ยังมีความต้องการสูง เพราะโครงการดังกล่าวถือว่าอยู่บนทำเลที่ตั้งดีที่สุดและราคาแพงที่สุดในย่านหัวหิน ขณะที่ปัจจุบันโครงการดังกล่าวมีงานในมือเหลือ (Backlog) จำนวน 107 ยูนิต ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 1,200 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถทยอยขายหมดเกลี้ยงได้ภายในปี 2564

ขณะที่ปัจจุบันบริษัทยังคงให้ความสนใจซื้อกิจการ (M&A) โครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยยอมรับว่าที่ผ่านมามีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายเข้ามาเสนอทั้งในรูปแบบโครงการที่พัฒนาเองและโครงการที่มีการพัฒนาไว้อยู่แล้วราว 2-3 โครงการ มูลค่าโครงการละ 400-500 ล้านบาท โดยคาดว่าบริษัทอาจยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนด้านการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ เนื่องจากมองว่าด้วยสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ต้องพิจารณาอย่างละเอียด เพราะยังมีความเสี่ยงสูงและมีโอกาสในการต่อรองราคาที่ดินแปลงอื่นๆ อีกจำนวนมาก

ส่วนสำหรับแหล่งเงินทุนนั้นบริษัทมองว่าไม่มีปัญหา เพราะปัจจุบันบริษัทกำลังเจรจากับกองทุนจากต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 2 กองทุน ซึ่งสนใจเข้ามาร่วมลงทุนในลักษณะการใส่เงินทุนในแต่ละโครงการหรือรูปแบบไฟแนนซ์เชียลพาร์ทเนอร์ ประกอบกับปัจจุบันบริษัทมองว่าอัตราหนี้สินต่อทุนของบริษัท (D/E) ยังอยู่ในระดับต่ำ 1.3 เท่า หากว่ามีความจำเป็นต้องกู้ยืมก็สามารถเพิ่มระดับ D/E ได้ โดยบริษัทมีนโยบายรักษาอัตรา D/E ไม่เกิน 2 เท่า

นายไพสิฐ กล่าวต่อว่าส่วนแนวโน้มรายได้รวมในปีนี้คาดว่าจะดีกว่าปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 114 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากการทยอยโอนฯจากโครงการคอนโดมิเนียมโฟกัส เพลินจิต จำนวน 31 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ากว่า 178 ล้านบาท อย่างไรก็ดีในแง่ของผลกำไรสุทธิในปีนี้นั้นมองว่ายังคงไม่สามารถพลิกกลับมาเป็นบวกได้ เนื่องจากบริษัทยังคงมีค่าใช้จ่ายต้นทุนด้านบุคลากรและสำนักงานขายอยู่