‘คปภ.’คุมเข้มประกันจ่ายปันผล

‘คปภ.’คุมเข้มประกันจ่ายปันผล

บอร์ด คปภ. สั่งประเมินการจ่ายปันผลของธุรกิจประกันภัยอย่างเข้มงวด  หวั่นโควิดฉุด สภาพคล่องและเงินกองทุนหด  ด้านเลขาคปภ. ย้ำธุรกิจประกันยังต้องทดสอบภาวะวิกฤติต่อ  ลั่นหากกระทบหนักจริง เล็งสั่งงดจ่ายเงินปันผล

นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า คปภ.จะมีการประเมินการจ่ายปันผลงวดปี 2563 ของบริษัทประกันอีกครั้ง ซึ่งจะเริ่มจ่ายในปี 2564 หลังการพัฒนาวัคซีนรักษาโควิด-19 ยังมีความไม่แน่นอน ซึ่งคณะกรรมการ (บอร์ด) คปภ. ขอให้มีการพิจารณาเรื่องนี้เป็นพิเศษและเข้มงวด เนื่องจาก การจ่ายเงินปันผล มีผลกระทบต่อเงินกองทุนและสภาพคล่องของบริษัทประกันเช่นกัน และภาวะเศรษฐกิจยังชะลอตัวในปีหน้า รวมถึง ดังนั้นบริษัทประกันก็ต้องเตรียมความพร้อมรับมือเช่นกัน

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาในเรื่องการจ่ายเงินปันผล คปภ. ได้กำหนดให้บริษัทประกัน ต้องดำเนินการทดสอบภาวะวิกฤติ (Stress Test) เริ่มต้นเดือนมี.ค.2563 ช่วงเริ่มการแพร่ระบาดของโควิด-19 พบว่า บริษัทประกันส่วนใหญ่ยังมีสภาพคล่องและเงินกองทุนแข็งแกร่ง แต่มีบางบริษัทที่เริ่มมีผลกระทบบ้าง ขอจ่ายเงินปันผลน้อยกว่าปีก่อน

ดังนั้น เรื่องการขอพิจารณาจ่ายปันผลของบริษัทประกันนั้น หลังจากนี้ทาง คปภ. จึงขอให้บริษัทประกันยังต้องมีการทดสอบภาวะวิกฤติในแต่ละสถานการณ์ต่อไปก่อน เพื่อนำไปประเมินให้ชัดเจนว่า บริษัทประกันนั้นได้รับผลกระทบจริงหรือไม่

รวมถึง จะมีการดูข้อมูลอื่นๆ ประกอบการพิจารณาเพิ่มเติม เช่น ข้อมูลการจ่ายปันผลย้อนหลังและกำไรของบริษัทย้อนหลัง ต้องพิจารณาการจ่ายปันผลให้สอดคล้องใกล้เคียงปีก่อนหรือให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงมากที่สุด

ซึ่งหากบริษัทประกันได้รับผลกระทบหนักกระทบต่อสภาพคล่องและเงินกองทุนอย่างมาก อาจจะพิจารณาใช้การหยุดจ่ายเงินปันผล แต่อย่างไรก็ตามเกณฑ์การจ่ายปันผลของบริษัทประกัน ต้องยึดหลัก 2 ข้อคือ กฎหมายและไม่ให้กระทบกับความมั่นคงของบริษัทประกัน

นายสุทธิพล กล่าวอีกว่า แม้ว่าในภาวะเช่นนี้ ธุรกิจประกันภัย ยังสามารถอยู่รอดได้เมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ แต่ธุรกิจประกันก็ต้องปรับตัว เพื่อรองรับความต้องการของคนไทยเปลี่ยนไปหลังโควิด-19 เช่น การปรับแบบประกันภัยรถยนต์เป็นความคุ้มครองระยะสั้น เพราะคนใช้รถน้อยลง อยู่บ้านมากขึ้น หรือหันมาเจาะประกันสุขภาพ ที่ช่วยในเรื่องการบริหารค่าใช้จ่าย จากการที่คนไทยตระหนักถึงความคุ้มครองสุขภาพมากขึ้น