BPPรุกหนักตปท. แผน 5 ปี ลงทุน ‘1แสนล้าน’

ปัจจุบันสถานการณ์หุ้นในกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ากำลังเป็นที่จับตามองของนักลงทุนหลายๆคน เพราะธุรกิจนี้ถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 มากนัก

ประกอบกับรายได้ของธุรกิจที่มักเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ ธุรกิจโรงไฟฟ้า จึงถือเป็นกลุ่ม “หุ้นหลบภัย” ในวิกฤติคราวนี้

กรุงเทพธุรกิจได้มีโอกาสพูดคุยกับ “กิรณ ลิมปพยอม” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP หลังเพิ่งรับตำแหน่งหัวเรือใหญ่ใน BPP โดยเจ้าตัวยอมรับว่า บริษัทอยู่ระหว่างเดินหน้าทำดิวดิลิเจนซ์เพื่อเข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าทั้งในประเทศและต่างประเทศหลายโครงการ

ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของบริษัทในช่วง 5 ปีข้างหน้าหรือภายในปี 2568 ที่บริษัทตั้งเป้าจะขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าแตะระดับ 5,300 เมกะวัตต์ (MW) จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ประมาณ 2,400 MW ส่งผลให้บริษัทต้องเร่งขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติมอีกจำนวน 2,900 MW โดยคาดว่าบริษัทจะต้องใช้เงินลงทุนอีกประมาณ 1 แสนล้านบาท

สำหรับโครงการที่บริษัทสนใจเข้าลงทุนส่วนใหญ่เน้นกระจายอยู่ในต่างประเทศเป็นหลัก เนื่องจากเชื่อว่ายังมีศักยภาพการเติบโตของความต้องการโรงไฟฟ้าอยู่เป็นจำนวนมาก โดยตอนนี้มีเป้าหมายหลักๆอยู่ในประเทศจีน,เวียดนาม และสหรัฐฯ ส่วนในประเทศไทยเชื่อว่าหากไม่มีโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) กำลังการผลิตไฟฟ้าน่าจะยังเกินกว่าความต้องการ (โอเวอร์ซัพพลาย) จึงมองหาการลงทุนในต่างประเทศมากกว่าไทย

ในส่วนของการลงทุนประเทศจีนนั้น ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน Shanxi Lu Guang (SLG) ขนาดกำลังการผลิตรวม 1,300 MW ซึ่งคาดว่าจะสร้างเสร็จและจ่ายไฟเข้าระบบ (COD) ได้ในช่วงไตรมาส 4ปี2563 ขณะที่ในประเทศเวียดนามล่าสุดเพิ่งไปซื้อโครงการพลังงานลมมาจำนวน 38 MW และมีโครงการที่กำลังก่อสร้างอีกจำนวน 30 MW ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จช่วงไตรมาส 1ปี2564 ส่งผลให้รวมตอนนี้มี 2 โครงการรวม 68 MW ซึ่งยังไม่นับรวมกับโครงการที่บริษัทกำลังทำดิวดิลิเจนซ์อีกเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้บริษัทยังมีเป้าหมายเข้าไปซื้อกิจการ (M&A) โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในประเทศสหรัฐฯขนาดกำลังการผลิตโรงละ 600 MW จำนวน 4-5 แห่ง ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินทุนแต่ละโครงการไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท โดยบริษัทอาจใช้วิธีการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุนหรือใช้การระดมทุนในประเทศสหรัฐแทนการใช้เงินทุนบริษัทเองทั้งหมด

กิรณ บอกว่า ทั้งหมดจะเห็นความชัดเจนภายในปี 2564 อย่างไรก็ตามมองว่าแผนการศึกษาการเข้าลงทุนดังกล่าวถือเป็นการเข้าไปลงทุนตามบริษัทแม่ คือ บมจ.บ้านปู (BANPU) ที่ได้ดำเนินธุรกิจก๊าซธรรมชาติอยู่ก่อนแล้ว

“ส่วนตัวเชื่อว่าความท้าทายหลักๆของการขยายการลงทุนในต่างประเทศมี 2 เรื่อง คือ1.การเปลี่ยนแปลงของนโยบายแต่ละประเทศ ที่กฎกติกาอาจเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลา และ2.อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน (FX) ซึ่งต้องมอนิเตอร์ตลอดเวลา”

“กิรณ” บอกด้วยว่า ในด้านฐานะการเงิน ยืนยันว่ายังอยู่ในระดับที่ดีมากๆ เพราะอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิของบริษัท (Net D/E) อยู่ที่ระดับเพียง 0.06 เท่า และมี Balance Sheet หรืองบดุลที่แข็งแรงโดยมีกระแสเงินสดและเงินปันผลเข้ามาจำนวนมาก รวมถึงที่สำคัญบริษัทไม่มีหนี้สินเลย พร้อมย้ำว่าบริษัทไม่มีแผนเพิ่มทุนเหมือนกับบริษัทโรงไฟฟ้าอื่นๆอย่างแน่นอน

“ราคาหุ้นของเราไม่หวือหวา จึงทำให้ค่าพีอีไม่ค่อนขยับไปไหน และส่งผลให้นักลงทุนเข้ามาเทรดกันค่อนข้างน้อย ซึ่งเป้าหมายของเราก็อยากให้ค่าพีอีสูงขึ้นมากกว่านี้”

ส่วนเป้าหมายรายได้ของบริษัทปี 2563 คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้ราว 10,075 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,968 ล้านบาท เนื่องจากยังมั่นใจว่าค่าความพร้อมจ่าย (EAF) ของโรงไฟฟ้าหงสาในปี 2563 จะยังคงสูงกว่าระดับ 80% แม้จะมีการปิดซ่อมบำรุง Unit 3 ของโรงไฟฟ้าดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ในส่วนของรายได้ในช่วง 5 ข้างหน้าจะไปแตะระดับเท่าไหร่นั้นยังไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากก็ต้องรอดูผลตอบแทนจากการลงทุนแต่ละโรงไฟฟ้าก่อนว่ากลับมาเป็นอย่างไร